รีวิวทริปโตเกียวต้นตุลาฯ 2018 EP 4: ตะลุย Rush Hour จนตกรถบัส แต่สุดท้ายเราก็เจอฟูจิ
หลังจากที่เมื่อคืนเราตัดสินใจกันว่าจะไปดูฟูจิในวันรุ่งขึ้น เราก็เอาตามนั้นจริงๆ เช้าวันที่ 1 ตุลาคม วันนี้ผมตื่นเช้ามาเปิดทีวีดูเพื่อหาข่าวเกี่ยวกับการให้บริการรถไฟฟ้าในโตเกียว บางพื้นที่มีประกาศงดบริการเนื่องจากลมไต้ฝุ่นที่ผ่านเมื่อคืนนั้นทำให้มีพวกกิ่งไม้ ต้นไม้โค่นล้ม ซึ่งก็มีหักหล่นไปบนรางรถไฟด้วย แต่ก็เห็นว่าสายที่เราจะไปนั้นไม่ได้ปิด สามารถเดินทางได้
พวกเราออกจากที่พักเกือบๆ 8 โมง ไม่ชัวร์เหมือนกันว่าสถานการณ์ความหนาแน่นในรถไฟจะเป็นยังไง เพราะมันเป็นทั้งวันจันทร์ เป็นวันหลังไต้ฝุ่นเข้า และก็ไม่รู้ว่าเราจะพ้น Rush Hour ออกมารึยัง (เข้าใจว่าเริ่มแน่นช่วง 7 โมง แล้วคลี่คลาย 8-9 โมง แล้วแต่สายรถไฟ)
เอาตามตรง ข้อมูลเส้นทางที่ใช้ไม่ชัวร์นัก แต่เรานั่ง Metro ไปต่อ Shinjuku Line กัน ผมเลยไปค้นประวัติจาก Google Maps Timeline ที่พอจะมีตำแหน่งอยู่บ้าง แม้ว่าจะมั่วเพราะลงใต้ดินบ่อย เลยเข้าใจว่าเส้นทางที่เลือกใช้ในวันนี้จะเป็นการนั่งรถไฟตามเส้น Asakusa Line ไปก่อน นั่งไปลงที่สถานี Higashi-Nihombashi แล้วเดินเปลี่ยนไปสาย Shinjuku Line ที่สถานีชื่อว่า Bakuro Yohoyama ซึ่งจากตรงนี้ก็จะนั่งยาวๆ ไปเลยจนลงที่ชินจูกุ ที่ๆ เราจะไปต่อรสบัสนั่นเอง
พวกเรานั่ง Asakusa Line มาด้วยความชิวครับ คนไม่แน่นเลย ก็เลยแอบคิดว่าสบายละวันนี้ แต่คิดผิด เพราะมาตอนมาต่อรถจะขึ้น Shinjuku Line นี่แหละครับ รถจอดปุ๊บ คนทะลักออกมา พร้อมกับในขบวนก็ยังแน่นเหมือนเดิม ภาพหลอน Airport Rail Link ในไทยนี่เข้าหัวผมทันที
แค่นั้นไม่พอครับ ความมันส์ก็บังเกิด เพื่อนผมแทรกตัวเข้าไปในรถได้แล้ว แต่ผมยังไม่ได้ และไม่กล้าที่จะ "เบียด" เข้าไปแรงนัก เลยมองหาตู้อื่น ปรากฏว่าไม่ต่างกันเลย แล้วก็พบว่าประตูมันปิดแล้ว ... นั่นล่ะครับ ตกรถไปหนึ่งแล้ว เลยแชทบอกเพื่อนว่าถ้าไปถึงก่อนก็ไปรอที่บัสเลย ส่งตั๋วที่จองอะไรให้เรียบร้อย
เอาล่ะ ณ จุดนั้นผมสัมผัสแล้วว่า ถ้าไม่ใช่พวกเรามาชน Rush Hour ก็ Rush Hour โดนเลื่อนมาจากการที่บางสายรถไฟเปิดบริการช้ากว่าเดิมนี่แหละ จะทางไหนก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ตั้งตารอขึ้นรถขบวนถัดไป
แว้บนึงแอบสังเกตพื้นชานชลาว่าเผลอมายืนตรงที่มีระบุว่าเป็นทางเข้าโบกี้ผู้หญิง... เอ๊ะ กูยืนผิดปะวะ ชิบหายแล้ว (อธิบาย รถไฟที่นี่มักมีโบกี้แยกให้ผู้หญิง ให้บริการเฉพาะช่วงเวลา ป้องกันปัญหาการลวนลาม) แต่ก็เอะใจว่าตะกี้นี้คนก็มารอกันทั้งชายและหญิงนี่หว่า เวลานี้คงไม่ได้แยกมั้ง แต่ก็ยังเลิ่กลั่กอยู่ เลยมองรอบๆ แล้วก็โล่งใจที่ก็มีทั้งชายและหญิงมาต่อแถว
ขบวนแรกพลาดไม่เป็นไร ขบวนต่อมา... เอ๋...
ไม่มา... มันทิ้งช่วงนานมากกกก มากจนเริ่มล่ก คนในชานชลาก็เริ่มเยอะขึ้นๆ
จนในที่สุดมันก็มา แล้วกูก็ขึ้นไม่ได้อีกขบวน บ้าเอ๊ย!
เลยแชทบอกลาเพื่อนแล้วว่า มีแววตกรถบัสที่จองไว้รอบ 9 โมงครึ่งแล้ว ถ้ายังไงก็ขึ้นไปก่อนเลย ไม่ต้องรอ เดี๋ยวหาวิธีจัดการตามไปทีหลัง
จำไม่ได้ว่าได้ขึ้นรถไฟขบวนที่เท่าไร แต่ก็ได้ขึ้นซะที แต่ก็ยังคนแน่นเช่นเคย และต้องอัดอยู่อย่างนี้ไปอีกหลายสถานีเลยทีเดียว เคยคิดว่าขึ้น Airport Rail Link ไทยแบบแน่นๆ จนชินแล้วก็ยังต้องคิดใหม่ ที่เจอมานี่เหมือนกับว่าในไทยแค่ซ้อมมาเจอของจริงเลยทีเดียว
เหมือนว่ารถจะเริ่มโล่งขึ้นแถวๆ สถานี Ichigaya น่าจะเพราะว่ามันมีสายรถไฟให้คนไปต่อกันเยอะล่ะมั้ง จังหวะนั้นถึงเริ่มหยิบมือถือมาแชทกับเพื่อนได้ ตอนนั้นปาเข้าไป 9 โมงกับอีก 6 นาทีแล้ว เรียกว่าสมมติไปชินจูกูทันก็คงต้องวิ่งสุดแรงไปหารถบัส
ในที่สุดก็มาถึงชินจูกุ แต่ก็งงกับทางออกและทางไปสถานีรถบัส เพื่อนบอกว่าบัสก็มีดีเลย์อยู่ ตอนนั้น 9.29 ยังไม่ออก เลยช่วยกันดูว่าต้องเดินไปทางไหน แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับบอสใหญ่ประจำโตเกียวที่ชื่อว่า "สถานีชินจูกุ" จริงๆ กว่าจะเจอทางไปเพื่อนก็บอกว่าบัสออกเรียบร้อย
บอกบุญ:
สำหรับใครจะไปสถานีรถบัสจากสถานีชินจูกุ ถ้าหาป้ายบอกทางเจอแล้วให้หา South concourse -> ขึ้นไปทาง Lumine 1 ทาง JR Entrance -> หาป้าย Express Bus ฝั่งตรงข้าม -> ข้ามถนน -> ขึ้นอาคารแล้วเดินตามป้าย
ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะทำใจไว้แล้ว 555
พอเดินไปถึงสถานีก็เลยมองหาเคาน์เตอร์ขอคุยว่าเปลี่ยนตั๋วได้มั้ย เค้าไม่ยอม ถือว่าโชคดีที่เค้าคุยอังกฤษได้ ถึงผมจะพอรู้ญี่ปุ่น แต่ก็แค่งูๆ ปลาๆ เรื่องยากยังงี้คุยเป็นญี่ปุ่นไม่เป็น
สุดท้ายก็เลยจองตั๋วใหม่รอบ 10.45 เป็นรอบเร็วสุดที่ยังเหลือที่นั่งก็เลยจองๆ ไปเลย ตอนนั้นคือราวๆ 9.45 เพราะฉะนั้นผมต้องนั่งกร่อยอยู่ตรงนั้นเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว
ในสถานีรถบัสคนคนค่อนข้างเยอะ ไม่ค่อยมีที่นั่งเหลือ เลยต้องปลีกตัวหลบไปข้างๆ เลยได้ไปยืนแถวตู้กดน้ำ ทำให้นึกได้ว่าระหว่างรอ ก็หยิบของมากินละกัน ยืนกินหลบๆ อยู่เค้าคงไม่ว่าอะไร ระหว่างกินก็ไม่เห็นสายตานะ แซนด์วิชจาก 7-11 ที่ผ่านกระบวนการบีบอัดในรถไฟมาแบนไปพอควร แต่ยังอร่อยอยู่ กินเสร็จก็ยัดขยะใส่ถุงตัวเองนี่แหละ เพราะไม่มีถังขยะ ตรงนั้นมีแต่ถังสำหรับโยนขวด/กระป๋องน้ำจากตู้กดน้ำ... ว่าแล้วก็กดกาแฟกินหน่อย
ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็เลยเปิดดูตารางรถไฟที่วางแผนจะต่อไป Kawaguchiko ไว้ล่วงหน้าเลยว่าต้องสลับไปเที่ยวไหน
พอเห็นว่าใกล้เวลาก็เลยไปเข้าห้องน้ำแล้วไปยืนรอ งวดนี้รถออกตรงเวลา 10.45 เป๊ะเลย ฝั่งเพื่อนที่นำไปก่อนชั่วโมงนึงก็ไปได้เกินครึ่งทางแล้ว ไม่นานนักก็ถึงป้ายที่จะลงไปดูเจดีย์ Chureitou
ผ่านไปราว 20 นาที (ราว 11.50 น.) เพื่อนก็บอกว่าเดินถึงข้างบนแล้ว แต่ยังไม่อยากสปอยล์บรรยากาศ บอกมาแค่อากาศดีมาก กับบอกว่าเดินขึ้นโคตรเหนื่อย
โชคดีที่ตะกี้กด Pocari Sweat ติดมาด้วย ได้ใช้แหงๆ
พอราวๆ 12.20 น. รถผมจอดลงตรงป้าย Chuoudou Shimoyoshida (中央道下吉田) คือป้ายรถบัสบนทางด้วย Chuou ที่ชื่อว่า Shimoyoshida ใครที่จะมาดูเจดีย์ต้องมาลงรถกันป้ายนี้นี่แหละครับ นอกจากจะมาทางรถไฟก็มีอีกทางเลือกคือนั่งรถไฟมาลงสถานีใกล้สุดชื่อ Shimoyoshida เหมือนกัน อยู่ในสายของ Fujikyuu
จากนั้นก็เดินต่อไปอีกราว 10 นาทีถึงไปขึ้นบันไดท่อนแรกของเจดีย์ จากจุดนั้น มองวิวไกลออกไปก็ยิ้มได้แล้ว ฟูจิชัดมากเลย
แต่นี่ยังไม่ถึงที่หมาย ก็เดินบันไดต่อไปอีก... โคตรสูง เดินไปได้สักครึ่งทางผมต้องหยุดพัก ไม่ได้ออกแรงเหนื่อยยังงี้มานานมาก จากนั้นก็เดินขึ้นไปต่อจนถึงยอด เพื่อนที่อยู่รอถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็ไกด์บอกตำแหน่งให้เสร็จสรรพ ผมเลยรวบรัดพิธีการตามเก็บรูป ชมบรรยากาศแบบไม่อ้อยอิ่งนัก ใช้เวลาตรงนั้นไม่ถึง 20 นาที (เพื่อนก็หยิบข้าวปั้นมานั่งกินรอ)
จากนั้นราวๆ บ่ายกว่าๆ ก็ค่อยๆ เดินลงจากเจดีย์มุ่งหน้าไปสถานีรถไฟ Shimoyoshida เพื่อต่อรถไปสถานี Kawaguchiko ใช้เวลาเดินราวๆ 8 นาทีก็ถึงสถานี
ไปถึงสถานีแล้วก็เดินเล่นบริเวณนั้นรอรถไฟ เหมือนว่ารถไฟจะมาตอนบ่าย 2 กว่าๆ ก็กดน้ำจากตู้มากินเล่น (คนไปญี่ปุ่นน่าจะชอบลองน้ำแปลกๆ กันใช่มั้ย?) แถวนั้นคนไม่เยอะ แต่เวลามีคนมาก็มักจะเป็นต่างชาติมารอขึ้นรถไฟทั้งนั้นเลย เช็คตารางรถไฟได้ที่นี่ครับ http://e.fujikyu-railway.jp/station/timetable.php?no=14
ราวๆ 14.05 ก็ได้ขึ้นรถไฟ นั่งไป 10 กว่านาทีก็ถึงสถานี Kawaguchiko ครับ แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เราจะทำหลังมาจากถึงก็คือ... หาข้าวกิน นี่มันบ่ายสองแล้วยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย แต่ไม่มีร้านในใจเลยเดินตามทางที่จะไปทะเลสาบ จนกระทั่งเจอร้านเทมปุระดูดีเลยตัดสินใจเข้าไปกิน ร้านชื่อว่า Fuji Tempura Idaten ครับ
พอกินเสร็จก็เดินลัดเลาะต่อไปเรื่อยตามที่เปิดดูใน Google Maps
จนถึงบริเวณทะเลสาบ ตรงนั้นนี่บรรยากาศดีมาก เป็นทะเลสาบที่รายล้อมไปด้วยขุนเขา เป็นภาพที่ไม่คุ้นตาในไทยเท่าไรนัก ท้องฟ้าตอนนั้นเหมือนจะโปร่งกว่าตอนเราอยู่ที่เจดีย์ซะอีกด้วยซ้ำ ฮ่าๆ
ถ่ายรูปแถวนั้นเสร็จก็เดินทางไปเป้าหมายหลักของเรา คือการขึ้นกระเช้า Panoramic Ropeway ขึ้นไปดูฟูจิและวิวแบบ 360 องศาข้างบนเนินเขา ตอนนั้นค่าตั๋วไปกลับกระเช้าอยู่ที่ 800 เยนต่อคน แต่เหมือนว่าตอนนี้เพิ่มเป็น 900 เยนแล้ว อากาศดีมากๆ และฟูจิก็ชัดแจ๋ว แต่ก็แอบเสียใจที่มาเวลานี้ ฟูจิยังไม่มีหิมะคลุมเป็นหมวกอยู่บนยอด เราเลยได้แต่ภาพของฟูจิเขียวๆ กลับไปแทน
อาจจะเป็นความโชคดีที่โชคร้ายตกรถตอนเช้า เพราะจังหวะที่เราจะเข้ากระเช้าลงไปข้างล่างก็ปาไป 4 โมงครึ่งแล้ว ทำให้เราเห็นแสงอาทิตย์ตอนเย็นสาดเมืองข้างล่าง
หลังจากลงมาเราก็เดินกลับไปยังสถานี Kawaguchiko เพื่อรอรถบัสขากลับ ที่สถานีเค้าจะมีตู้ขายตั๋วรถบัสแบบอัตโนมัติให้เราซื้อได้เลยนะครับ ตอนนั้นผมก็ซื้อจากตู้แบบเผื่อๆ เวลาไว้ ตอนมาถึงเลยเหลือเวลาเยอะไปหน่อย (เข็ดกับตอนเช้าแล้ว ฮ่าๆ) รออยู่ราวครึ่งชั่วโมงรถบัสถึงมา
จังหวะรอบรถ จะมีรถหลายคันเข้ามา อาจจะต้องสังเกตรถกันหน่อยแล้วเดินไปดู ที่รถจะมีการตรวจตั๋วก่อนขึ้น ถ้าไม่ชัวร์ว่าใช่รถเราหรือเปล่าลองยื่นตั๋วให้พนักงานดูครับ ตรงนี้ดูภาษากายก็เพียงพอที่จะรู้ว่าเรามาถูกหรือมาผิด
พอได้ขึ้นรถก็สบายแล้ว หลังจากออกแรงมาทั้งวัน ได้นั่งเบาะนิ่มๆ นั่งยาวๆ กลับไปชินจูกุรวดเดียว ระหว่างกลับเราก็ยังเห็นฟูจิอยู่บ้างแม้ฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว ระหว่างทางก็มีหลับตางีบสั้นๆ เป็นระยะเอาแรง เพราะเรายังมีเป้าหมายสุดท้ายของวันรออยู่ในเมือง
เกือบ 2 ชั่วโมงผ่านไป ตอนนี้คือเวลาราวๆ 1 ทุ่ม แล้วเราก็เดินมุ่งไปที่อาคารสำนักงานบริหารมหานครโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building) ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นฟรีเพื่อไปชมวิวเมืองจากชั้น 45 ของตึก จังหวะต่อแถวขึ้นลิฟต์เค้าจะมีขอตรวจกระเป๋าด้วย บวกกับคนที่ยังเยอะเลยใช้เวลาอยู่พอประมาณเลยครับ
พอขึ้นมาแล้ว ในชั้นนั้นๆ จะมีทั้งร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหาร และรอบๆ จะเป็นกระจกแผ่นใหญ่ให้เราชมวิว
ใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมงพวกเราก็พอใจกับวิว และกลับไปสถานีชินจูกุ พร้อมกับปัญหาใหญ่ก่อนเข้าที่พัก
กินอะไรดีวะ
แต่ก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเพราะความหิวมันเข้าแทรก มองรอบตัวไปเจอ Yoshinoya ก็เลยพุ่งไปหาเลย รอคิวไม่นานก็ได้เข้าไปนั่งเคาน์เตอร์สั่งข้าวหน้าเนื้อมานั่งโซ้ยกัน ช่างเป็นอาหารที่เหมาะกับวันที่ออกแรงเยอะจริงๆ
และแล้วภารกิจไปชมฟูจิของพวกเรา แม้จะติดขัด แต่ก็บรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์ วันต่อไปพวกเราจะเดินทอดน่องชมเมืองกัน