2023 Year in Review - High & Low

2023 Year in Review - High & Low

ปี 2023 ก็เป็นอีกปีที่ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง แต่ปีนี้ส่วนมากจะกลับมาเป็นเรื่องของความคิดและชีวิตซะมากกว่าเรื่องทางสกิลและทักษะการทำงาน และเป็นปีที่สร้างความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมด เป็น Roller Coaster มีสุขจัด ทุกข์จัด ตามที่พาดหัวเลยว่ามันเป็นปีที่มี High & Low จริงๆ

สุขภาพ

เริ่มจากเรื่องคลาสสิกและเป็นธรรมเนียมก่อนก็คือเรื่องสุขภาพ เอาจริงๆ จากปีก่อนที่พยายามลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย ปีนี้ก็ยังแพลนให้ทำอยู่ แต่ผลประกอบการไม่ได้ออกมาแบบเข้มข้นเท่าปีก่อน ไม่ได้ออกกำลังกายจริงจังในช่วงท้ายปีเท่าไรเลย แถมช่วงเมษายนก็ติด COVID-19 ไปรอบจนตัวติดอยู่บ้านไปนาน แต่ภาพรวมปีนี้ สิ่งที่ทำได้ดีขึ้นมากๆ คือออกไปเดิน

ปีนี้เดินเยอะมาก เดินเป็นคนบ้า เฉลี่ยต่อวันจะตกที่วันละ 6.25 กิโลเมตร หรือ 8,174 ก้าว และยอดรวมระยะทางเดินทั้งปีรวมกันอยู่ที่ 2,195.66 กิโลเมตร เทียบเท่าเดินจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ กลับมากรุงเทพฯ แล้วก็กลับไปเชียงใหม่อีกรอบ

High

ช่วงต้นปีเป้นช่วงที่รู้สึกว่าเป็นช่วงที่ทักษะการปรับตัวของตัวเองที่พัฒนามาจากปีก่อน กำลังผลิดอกออกผล เป็นประโยชน์ต่อทุกๆ คนที่ร่วมทีม ร่วมงานด้วย จุดสังเกตที่พิจารณาเองว่าเป็นเรื่องดีคือ เป็นคนที่มีคนอื่นๆ เข้ามาพูดด้วย ทั้งเรื่องเรื่อยเปื่อย เรื่องส่วนตัวบางอย่าง และระบายเรื่องหนักใจ หรือเรื่องงานให้ฟัง และเราเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั่งฟัง มีบ้างที่จะหยอดคำถามให้คิดต่อ แต่ก็พยายามไม่ฟันธงหรือชี้แนะอะไรถ้าไม่ใช่แนวทางการทำงานที่เรามีแนวทางของเราอยู่และอยากแนะนำให้ทุกๆ คนปรับตาม ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวก็จะนั่งเป็นพื้นที่ให้ระบายเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ไปสั่งสอนอะไรเค้า

พอรู้สึกว่าคนเข้าถึงตัวเองมากขึ้น มันก็แฮปปี้ในตัวนะ ที่มุมนึงคือเค้าไว้วางใจเรา เป็นเหมือนอีกคุณค่านึงที่ซาบซึ้งเป็นการส่วนตัว เพราะมันเหมือนต่างฝ่ายต่างได้รับความใส่ใจ และเป็นประโยชน์ เป็น vibe ที่ดีต่อกัน แล้วก็ค่อนข้างจะยึดมั่นแนวคิดนี้ในการเสนอตัวช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่รู้สึกว่าสนิทใจด้วยแล้วประมาณนึง ถ้าพูดภาษาโบราณก็คงเป็นการได้ความสุขจากการช่วยเหลือผู้อื่นนั่นแหละมั้ง

กับปีนี้มีโมเมนต์แปลกๆ ของตัวเองเกิดขึ้นบ่อยคือ ด้วยความที่จำรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับคนรู้จักหลายคนได้แม่น เวลาเจออะไรที่ชวนให้นึกถึง ก็จะนึกถึงบ่อย แล้วบางครั้งบางคราวก็อยากเอาสิ่งที่เจอซื้อไปฝากคนๆ นั้น บางครั้งก็ไม่ได้เจาะจงคนด้วย แบบจำได้ว่าของกินนี้มีหลายคนที่ออฟฟิศบอกว่าอร่อย งั้นถ้าผ่านก็แวะซื้อเข้าไปดีกว่า ทำนองนี้เลย

การงานของตัวเองรู้สึกว่าไม่มีอะไรโดดเด่นนัก และไม่คิดว่าตัวเองเก่งขึ้นเท่าไรด้วย มีเรื่องที่ได้เรียนรู้ ได้ทำเพิ่ม แปลกใหม่ แต่ไม่ได้คิดว่ามันคือ Great Impact ที่ทำให้เราอัพเลเวลขึ้นขนาดนั้น แต่ภาพรวมก็คือทำงานออกมาได้เรื่อยๆ และคำพูดนึงจากหัวหน้าทีมก็บอกว่า การที่ไม่มี feedback อะไรเป็นพิเศษ มันก็คือไม่มีปัญหาอะไรด้วยแหละ

แต่ก็กลับมาสนุกขึ้นกับการทำงานที่เป็น Internal Tool ให้กับทีมภายในใช้ หลังจากที่ไม่ได้จับงานลักษณะนี้มาร่วมปี และจริงๆ ถ้านับจากช่วงโควิดระบาดเลยก็อาจจะเกือบ 3 ปีแล้วที่เปลี่ยนสไตล์การทำงานมาจับหลากหลายประเภทแบบตอนนี้

Low

ขณะเดียวกันที่มีช่วงที่รู้สึกว่าหลายๆ มันโอเค และมีความสุขกับผู้คน ก็มีเรื่องปัญหาส่วนตัวเหมือนกันที่เล่าสู่กันฟัง รับรู้เฉพาะคนใกล้ตัวจริงๆ ที่ทำให้ครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ไม่โอเคกับตัวเองเท่าไร และรู้สึกกระอักกระอ่วนมาโดยตลอด

จริงๆ เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้ตอนแรกไม่อยากจะมาเขียนรีวิวตัวเองแล้ว แต่ใจนึงก็ตัดสินใจว่า เราต้องยอมรับการมีอยู่ของปัญหา และให้มันเป็นส่วนนึงกับเราให้ได้ ไม่ใช่หลบหนีมัน ก็เลยคิดว่าเอามาเขียนบันทึกไว้ให้ตัวเองในอนาคตอ่านก็ดีเหมือนกัน

คิดว่าคงไม่เขียนลงดีเทลเท่าไร แต่อธิบายแบบรวบรัดก็คือ มีปัญหาอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัว ที่ไปกระทบคนอื่น จนมีทั้งคนที่อึดอัดจากผลกระทบของการกระทำ และคนอีกส่วนที่เป็นห่วงว่าจะจัดการตัวเองได้มั้ย แล้วมันดันยืดเยื้อมานานด้วย จนต้องหาเวลาอยู่กับตัวเองจริงๆ จังๆ

แต่แค่ปัญหาเรื่องเดียว มันก็พาความคิดเราวิ่งไปทั่วได้จริงๆ มุมมองต่างๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อารมณ์ที่ผันผวน ทำให้บางจังหวะมองโลกในโคตรแง่ร้าย รู้สึกไม่เชื่อใจคนอื่น แล้วพอพักสักพักหนึ่งมันก็กลับมาดีขึ้นเป็นปกติ และบางทีก็มองโลกแง่ดีเกินไป จนไม่ระมัดระวังตัวเอง แล้วไปสร้างปัญหาเพิ่ม แล้วก็เฟล กลับมาติดลูปวนไปมา กลายเป็นมีจังหวะที่รู้สึกตัวเองโคตรแย่ ผิดหวังในตัวเอง ทั้งต่อตัวเองและต่อคนอื่นที่ไปทำคนอื่นเดือดร้อน และเครียดมาก

แต่พอได้อยู่กับตัวเอง คิดจนตกผลึก ก็พบว่านี่อาจจะเป็นบทเรียนชีวิตบทใหญ่เรื่องนึง ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน และในสภาพที่ยังมี safety net จากคนที่เป็นห่วงคอยช่วยเหลืออยู่ ก็คิดว่าเราถือว่ายังโชคดีมากๆ ที่มีปัญหาในสภาพแวดล้อมนี้

อย่างไรก็ตาม การแบกรับความรู้สึกผิด การยอมรับ การเดินหน้าต่อ เป็นเรื่องที่เวลาพูดให้คนอื่นฟังมันง่าย แต่พอเจอเองแล้วมันยากจริงๆ และก็ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจมาด้วย

สุรุ่ยสุร่าย

ปีนี้ใช้จ่ายเยอะจนรู้สึกผิดกับตัวเอง 55555

ก้อนหนักๆ ที่จ่ายไปของปีนี้คือ

  1. กล้อง Sony ZV-E10, เลนส์ SIGMA 30mm f1.4 มือสอง และเลนส์ SIGMA 56mm f1.4 มือหนึ่ง ที่เหมาะกับการถ่าย Portrait แต่ส่วนใหญ่เอามาเล็งแมวจร เพราะจะได้ไม่ต้องเข้าใกล้มาก หมดนี้ก็ราวๆ 4-5 หมื่นแล้ว ผ่อนกันยาวตั้งแต่ต้นปี
  2. Tokyo Trip ช่วงกลางปี ไปเที่ยวกับมิตรสหาย รวมกัน 3 คน แต่หมดกับค่ากินไปเพียบ เพราะเพื่อนดันขยันหาร้านแปลกๆ ราคา above average อยากไปลองกัน และทริปนี้ดันขึ้น ZIPAIR ที่เป็น lowcost แบบเกรดสูง ก็คือไม่ได้ถูกเท่าไรหรอก และช็อปของฝากเยอะมาก 555
  3. ดันหาทำเข้าไปเล่นวงการน้ำหอมแบบขำๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นงานอดิเรกคอยไปอัพเดตน้ำหอม Niche ที่ร้านประจำซะแล้ว และมีซื้อมาลองเกิน 20 ตัวแล้ว อันนี้ใครอยากคุยต่อ คุยกันนอกรอบได้ ยังไม่ได้ทำบทความขนาดนั้น ยังไม่โปร
  4. Solo Trip in Chiang Mai เกิดจากความอยากปลีกวิเวกด้วยส่วนนึง จังหวะเที่ยวอากาศเย็นด้วยส่วนนึง การใช้ชีวิตก็จะเป็นเช้ากินอาหารทั่วไปในเมือง เวลาอื่นคือเดิน Cafe Hopping ตามพิสูจน์คุณภาพร้าน แล้วก็นัดเจอมิตรสหายบ้างแก้เหงา กับหาเพื่อนกินข้าว ระดับความสุรุ่ยสุร่ายมีตัววัดง่ายๆ 2 ตัว อย่างแรกคือค่าอาหารถูกกว่าค่ากาแฟและขนมในร้านคาเฟ่ อีกอย่างคือตัดสินใจเปลี่ยนไฟลท์ จองโรงแรมเพิ่ม เพื่อนัดเจอมิตรสหายกินข้าวกัน ไว้อาจจะทำคอนเทนต์แยกออกมาอีกทีว่าทำอะไรไปบ้าง หรือไม่ก็เป็นรีวิวคาเฟ่เชียงใหม่แบบไปกิน ไม่ได้ไปถ่ายรูปให้อ่านกัน
น้ำหอมไทยที่ collab กับกลิ่นสาเกจากโรงกลั่นสาเก

จริงอยู่ว่าการเปย์ตัวเองมันทำให้เครียดน้อยลง แต่ก็เข้าใจมากขึ้นว่ามันไม่ยั่งยืน 555 ทิศทางปีหน้าจะกลับมาโฟกัสการจัดการเงินมากขึ้นละ คือเมื่อก่อนก็เป็นคนเก็บเงินบ้าอยู่เหมือนกันจนสงสัยว่าคนเรามันเที่ยวกันบ่อยได้ยังไง ตอนนี้เข้าใจละ ได้เวลากลับไปสู่วินัยที่ดี แต่ปีหน้าก็คงยังอยากไปเที่ยวอีกอยู่ดี

ซากุระ

Nakameguro, Tokyosrc: https://www.wallpaperflare.com/japan-meguro-blossom-travel-asia-cherry-blossom-sakura-wallpaper-ebanv

จริงๆ ไม่มีอะไร แค่จู่ๆ ก็อยากเขียน แล้วสมองมันเชื่อมโยง คิดว่าจะเก๋ดี ไม่รู้คนอ่านจะแคร์มั้ย คือตอนแรกแพลนว่าปีหน้าก็อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงซากุระแหละ พูดให้ครบคืออยากไปตั้งแต่ปีนี้แล้ว แต่สู้ราคาตั๋วเครื่องบินไม่ไหว ก็เลยส่องมาตลอด แล้วก็เจอหลายจังหวะที่เกือบซื้อแล้วเพราะราคารับได้ แต่ก็ยังไม่กล้า เพราะมุมนึง มันจะเป็น Solo Trip ต่างประเทศครั้งแรกด้วย

จริงๆ การไปเชียงใหม่แบบเกือบ Solo Trip ก็เป็นอีก challenge นึงของตัวเองเหมือนกันว่า ถ้าอยากไปเที่ยวต่างประเทศแบบ Solo จริงๆ จะไม่เหงาไปใช่มั้ย ซึ่งก็คิดว่า คงพอไหวแหละ และเคลียร์ความคิดนี้ไปได้เรื่องนึงแล้ว ที่เหลือคือรอจังหวะหาราคาที่รับไหว

กับอีกอย่าง ถ้าใครพอจะรู้ Flower Language หรือวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ซากุระ คือสัญลักษณ์ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือการเริ่มต้นใหม่ของบางสิ่ง เพราะมักจะผูกกับการขึ้นปีทำการใหม่ๆ ของญี่ปุ่น เช่น ปีการศึกษา หรือ ปีงบประมาณบริษัท (และหมายถึงการเข้างานใหม่ของพนักงานด้วย)

เลยทำให้คิดว่า มันคงเจ๋งดีเหมือนกัน ถ้าได้ไป challenge ตัวเองกับการจัดทริปดูซากุระ เพราะดันรู้สึกอินกับความหมายของมัน รวมถึงเรื่องปัญหาส่วนตัวด้วย ที่คิดว่าอยากให้มันเกิดความหมายดีๆ กับตัวเองในมุมของการที่แก้ไขปัญหาแล้วเริ่มต้นใหม่ได้

🌸 ขอให้ซากุระ ผลิบานในใจของทุกคนครับ

สวัสดีปีใหม่ 2024 ครับ