ผลงานอนิเมยอดเยี่ยมประจำปี 2021

บล็อกนี้เป็นความเห็นของผู้เขียนเท่านั้น และผู้เขียนเองก็ไม่ได้ดูอนิเมครบเรื่องทั้งปีขนาดนั้น เลยอาจจะมีหลายเรื่องที่ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กัน แต่อาจจะไม่ได้ถูกพูดถึง แฟนเรื่องไหเข้ามาอ่านแล้วไม่เจอ อย่าได้น้อยใจไปเลย

ผลงานอนิเมยอดเยี่ยมประจำปี 2021

บล็อกนี้เป็นความเห็นของผู้เขียนเท่านั้น และผู้เขียนเองก็ไม่ได้ดูอนิเมครบเรื่องทั้งปีขนาดนั้น เลยอาจจะมีหลายเรื่องที่ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กัน แต่อาจจะไม่ได้ถูกพูดถึง แฟนเรื่องไหเข้ามาอ่านแล้วไม่เจอ อย่าได้น้อยใจไปเลย 🙏

การกลับมาของพล็อตแฟนตาซี

อืม… ถึงจะบอกว่า "แฟนตาซี" แต่ถ้าจะลงรายละเอียด มันคือส่วนผสมระหว่าง "ต่างโลก" (Isekai) กับ "แฟนตาซีดั้งเดิม" อยู่นิดหน่อย แต่เรื่องที่ยกมานี้เป็นเรื่องที่สร้างโลกส่วนแฟนตาซีได้อย่างมีมิติ มี Setting ของเรื่องที่น่าติดตาม


Mushoku Tensei

สำหรับ Mushoku Tensei นี่เห็นหลายคนบอกว่าเป็นผลงานเก่าแก่มากในกลุ่ม Isekai ถึงกับมีหลายคนบอกว่านี้คือบิดาของนิยายแนวนี้เลยก็ว่าได้ อันนี้ผมก็อ่าน-ฟัง มาอีกทอด ก็เชื่อตามเค้าละกัน

ความโดดเด่นของ Mushoku Tensei คือการที่องค์ประกอบโลกเก่ามันถูกสะท้อนในชีวิตใหม่ในต่างโลกที่ได้มาเกิดใหม่ เป็นการเล่นกับความทรงจำอดีตในมุมความรู้สึกผิด รู้สึกแย่กับชีวิต แล้วได้มีโอกาสแก้ตัวในโลกใหม่ ต่างจากเรื่อง Isekai ดาษๆ ที่เกลื่อนตอนนี้ ที่ตัวละครเอกมันเป็นเทพกันไปซะหมด

ประกอบกับโลกแฟนตาซีของเรื่องแล้ว มีความหลากหลาย และสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของผู้แต่งมาก ทั้งชาติพันธุ์ เมือง อาณาจักรต่างๆ และแม้กระทั่งภาษาที่สร้างขึ้นมาเพิ่มตั้งหลายภาษา (ถ้าจำไม่ได้ผิด เหมือนมีทั้งหมด 5 ภาษารวมภาษาคน)

แค่การวางโครงเรื่องทั้งหมดก็เป็นผลงานที่มีศักยภาพสูงในตัวแล้ว และเมื่อได้ปรับมาเป็นฉบับอนิเม ทีมสตูดิโอก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แว้บแรกอาจจะคิดว่าลายเส้นมันดูไม่สวย ไม่เนี้ยบเหมือนหลายๆ เรื่อง แต่เอาเข้าจริงๆ คือสามารถคงคุณภาพได้ตลอด คงที่มาก และฉากแอคชันต่างๆ จัดเต็ม โมชันทำได้ดีมาก

ฝั่งของเพลงประกอบ อันนี้ก็ยอดเยี่ยมอีกเช่นกัน ทั้ง Soundtrack และเพลง OP/ED ที่ส่วนตัวมองว่ามันไม่ได้ "ติดหู" ขนาดนั้น แต่มัน "เข้ากัน" กับเนื้อเรื่องมากๆ


Saihate no Paladin

ถ้า Mushoku Tensei ยังมีความสดใสปนความหม่น พอมาถึง Saihate no Paladin นี่กลายเป็นแฟนตาซีโทนหม่นๆ ไปทันทีเลย และนั่นคือจุดเด่นของเรื่องนี้

นี่ก็เป็น Isekai อีกเรื่องนึง ที่ตัวเอกไม่ได้เทพแต่เกิด แถมยังได้ความรู้สึกผิดจากชาติปางก่อนมาสร้างความอึดอัดให้เรื่องอีกด้วย

Saihate no Paladin นั้นมีองค์ประกอบของโลกที่น่าสนใจ กฎต่างๆ ทางด้านแฟนตาซีนั้นละเอียดอ่อน รวมถึงความคลาสสิคอย่างการเลือกนับถือเทพ ที่ชวนให้นึกถึงคุณสมบัติตามเกม RPG แต่ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างไม่ฝืน และสอดคล้องไปกับชิ้นส่วนต่างๆ ในเรื่องได้อย่างราบรื่น

คิดว่าด้วย Pacing ของการเดินเรื่อง น่าจะทำให้หลายคนดูเรื่องนี้แล้วเบื่อแน่ ผมเองก็เบื่อ เจออารมณ์แบบเห็นตอนใหม่มา ก็ไม่ได้รู้สึกอยากดูขนาดนั้น แต่พอเริ่มดู มันก็จะดูยาวไม่ได้หยุด เหมือนมันมีเสน่ห์บางอย่างที่ดึงดูดเรา

จนจบ 11 ตอนไปแล้วยังเดินเรื่องแทบไม่ถึงไหน จบพาร์ทไปแบบหม่นๆ งงๆ แต่ก็ประกาศทำซีซันสองเรียบร้อยแล้ว เอาเป็นว่าใครสนใจก็แนะนำให้ลองดูได้ครับ

Shin no Nakama

Shin no Nakama คือชื่อย่อของ "Shin no Nakama ja Nai to Yuusha no Party wo Oidasareta node, Henkyou de Slow Life suru Koto ni Shimashita"

เอาตามตรง เมื่อก่อนจะจำชื่ออนิเมยาวๆ แบบนี้ได้นะ แต่เรื่องนี้เห็นแล้วยอมแพ้ ขี้เกียจจะจำ

เรื่องนี้เป็นแฟนตาซีแท้ๆ ไม่ได้เกิดใหม่มาแบบเรื่องอื่นๆ พล็อตคือตัวเอกถูกขับออกจากปาร์ตี้ผู้กล้า เลยช่างแม่งละ มาขายยาที่เมือง อยู่อย่างสงบก็ได้

พล็อตดูจืดสนิท แต่นี่แหละที่ทำให้ผมชอบมัน

แม้ว่าในเชิงผลงานภาพแล้ว Shin no Nakama จะดูห่วยแตกแค่ไหน แต่การดำเนินเรื่องที่ชวนให้เราหยุดวิ่ง มานั่งพักแล้วติดตามชีวิตอันแสนเอื่อยเฉื่อยของตัวละครหลัก มันเป็นอะไรที่ดีไม่น้อยเลย

เอาตามตรง ผมมองว่าเรื่องนี้มันจะแฟนตาซีก็ใช่ เพราะองค์ประกอบและโครงเรื่องตั้งอยู่บนโลกแฟนตาซีเน้นๆ แต่อีกมุมมันเหมือนเป็น Slice of Life กลายๆ ซึ่งผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์คนแต่งอยู่ เค้าบอกว่าไอเดียของเรื่องมาจากความคิดที่ว่า เวลาเล่นเกม เค้าจะจินตนาการถึงความเป็นไปของ NPC ตามแต่ละเมือง และนั่นคือรากฐานมาสู่พล็อตเรื่องนี้นั่นเอง

นอกจากนี้แล้ว โครงเรื่องก็มีลูกเล่นที่น่าสนใจอย่างพรสวรรค์ที่ได้ติดตัวคนมาแต่เกิด ทำให้ส่งเสริมความสามารถเพื่อไปทำหน้าที่ที่เหมาะสมได้ ไม่ว่าจะนักผจญภัย หรือแม้แต่ช่างตีเหล็ก ทุกคนได้รับการสอนมาว่าพรสวรรค์นั้นได้มาจากเทพเจ้า และนั่นคือสิ่งที่ดีแล้ว

แต่ถ้าหากเรากลับไม่ชอบในสิ่งนั้นล่ะ

การหยิบประเด็นการชี้นำจากสังคม และ Free Will มาก็เพิ่มอรรถรสของเรื่องได้อย่างน่าสนใจทีเดียว ทำให้เรื่องกลับมีความกลมกล่อมกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก

อ้อ อีกเรื่องคือเพลงประกอบ OP/ED มันเข้ากันกับเรื่องมากๆ

Slice of Life at its best

ผมมองว่าผลงานแนว Slice of Life นี่เป็นสิ่งที่คนดูจะชอบมันมากขึ้น ตามวัยของคนดู ยิ่งการใช้ชีวิตคุณเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น มีเรื่องให้คิดเยอะขึ้น คุณจะยิ่งหลงรักมัน เพราะมันถ่ายทอดหลายเรื่องที่ชวนให้คุณคิดตามและเข้าใจมัน หรือาจจะมุมมองใหม่ๆ ที่สร้างสีสันให้ชีวิตของคุณ และความบันเทิงไร้สาระ ที่ชวนให้นึกถึงว่าคุณก็เคยผ่านมันมา

Yuru Camp Season 2

อนิเมแคมปิ้งยอดฮิต ที่ฝากผลงานซีซันแรกไประดับที่โลกจำเพราะเคมีของตัวละคร สถานที่แคมปิ้งที่ทำให้คนติดตามกันได้ และผลงานภาพและเสียงที่ยอดเยี่ยม

มาในซีซันสอง ก็เรียกว่าคนคงคาดหวังกันเยอะ และทีมงานผู้สร้างก็ไม่ทำให้ผิดหวัง และมีหลายองค์ประกอบที่เหนือชั้นกว่าเดิมอีกด้วย โดยเฉพาะ "โทน" ของเรื่องที่อัพเกรดความสดใสล้วนๆ ในซีซันแรก มาเป็นเรื่องของการพัฒนาขึ้นความคิดตัวละคร จะเรียกว่าเป็น Character Development ก็คงได้

ในเชิงผลงานภาพ เรียกว่ามีฉากประทับใจหลายจังหวะ โดยเฉพาะฉากที่รินขี่มอเตอร์ไซค์ตอนเช้ามืด ที่คิดว่าคนดูไม่น้อยน่าจะเห็นภาพแล้ว "สัมผัส" บรรยากาศได้เลยทีเดียว รวมถึงลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ กับจังหวะเพลงปิดของตอนที่ 4 ก็สร้างความประทับใจให้กับคนดูไม่น้อย

เพลง OP/ED ยังคงได้ศิลปินเดิมคือ ASAKA และ Sasaki Eri มาเหมือนเดิม และทำผลงานได้ตราตรึงเช่นเคย


Super Cub

เป็นเรื่องที่ตอนแรกไม่คิดจะดูด้วยซ้ำ เพราะคนล้อว่านี่มันโฆษณามอเตอร์ไซค์ฮอนด้าชัดๆ แต่คิดผิด

ไม่สิ ก็ไม่ผิด แต่มันไม่ใช่ "แค่โฆษณา" มันมีอะไรมากกว่านั้น

Super Cub เกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ Super Cub ของฮอนด้าจริง แต่การเล่าเรื่องทั้งหมดคือการเล่า Character Development ที่ยอดเยี่ยม เป็นการเล่าพัฒนาการของตัวละครหลักอย่าง Koguma ที่ทดลองซื้อ Super Cub มาใช้หลังจากทรมานกับการปั่นจักรยานไต่เนินไปกลับโรงเรียนเป็นประจำ และการตัดสินใจนั้นก็เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับตัวเองไปอีกมาก

Super Cub อาจจะเป็นยืนหนึ่งอนิเม Slice of Life ของปีนี้เลยก็ได้ เพราะเป็นผลงานกำกับที่มีชั้นเชิงและเก็บรายละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้าได้อย่างเนี้ยบสุดๆ ฟังแล้วอาจจะดูเวอร์ แต่รายละเอียดของเรื่องนี้มันซับซ้อนมากๆ ตั้งแต่การเลือกใช้โทนสีประกอบฉาก ที่ความจืด หรือความสดจะเกี่ยวกับบรรยากาศและความคิดของตัวละคร ณ ขณะนั้น

เพลงประกอบเองก็เช่นกัน ส่วนของ Soundtrack นั้นสมูธมาก คือสามารถแทรกซึมเข้ามาในฉากได้อย่างค่อยๆ แต่ก็โดดเด่นพอที่เราจะสัมผัสถึงมันได้ เพลง OP/ED ก็สร้างบรรยากาศที่เข้ากับเรื่องได้ดีมากเช่นกัน

Blue Period

กระแสไฮป์หนักมากตั้งแต่ประกาศทำอนิเม ผมที่ไม่ได้ตามต้นฉบับก็บอกไม่ได้ว่าอนิเมเทียบต้นฉบับแล้วเป็นยังไง แต่ชอบ เป็นอีกเรื่องที่ชอบมาก

Blue Period เล่าเรื่องของตัวละครหลักที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต เที่ยวเล่นกับเพื่อนไปวันๆ จนกระทั่งไปสะดุดกับงานศิลปะที่ตราตรึง แล้วอยากที่จะสร้างผลงานเช่นนั้นได้บ้าง จึงเริ่มเข้าสู่วงการงานศิลป์ และวางแผนเพื่อเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยด้านศิลปะ ที่การแข่งขันสูงมาก

เสน่ห์ของเรื่องนี้อาจจะมีหลายอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็น ตัวละครที่สับสน, การนำเสนอผลงานศิลปะให้คนทุกกลุ่มเข้าใจกันได้, โลกของคนเดินสายศิลปะที่เราอาจจะไม่รู้จัก และความอึดอัดในการแข่งขัน

พอเรื่องหยิบเรื่องอารมณ์ของตัวละครมาใช้เยอะ การนำเสนอเลยต้องเก็บรายละเอียดให้ได้ ซึ่ง Blue Period ก็ถือว่าทำผลงานได้ดี ประกอบกับนักพากย์ ก็ทำให้อารมณ์ของตัวละครสื่อออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ไม่รู้ทำไม แต่หลังๆ เริ่มชอบเรื่องอะไรทำนองนี้ ที่เจอความอึดอัด เจอความเครียกของตัวละคร แล้วก็ฝ่าฟันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อาจจะดูเหมือนชีวิตดีมั้ง

ผลงาน Original ที่ทำได้ยอดเยี่ยม

ผลงานอนิเมออริจินอล ที่สร้างมาเป็นอนิเมเป็นที่แรก ไม่ได้อิงจากต้นฉบับที่เป็นนิยายหรือมังงะ ความน่าติดตามของผลงานออริจินอลคือความสดใหม่ และมักจะเป็นผลงานที่สตูดิโอผู้สร้าง ผู้กำกับ ทุ่มสุดตัว

Odd Taxi

สดใหม่มาก ไม่เคยอนิเมแบบนี้มานาน นาน มาก

เนื้อเรื่องเล่าถึงญี่ปุ่น โตเกียว แต่ทุกคนเป็นสัตว์พฤติกรรมคน และตัวเอกคือวอลรัสที่ขับแท็กซี่ แล้วไปพัวพันกับเหตุการณ์ปริศนา มุมมืดต่างๆ ในโตเกียว

พล็อตมันดูเหมือนของคลาสสิคตามหนัง ตามซีรีส์คนแสดงอยู่ใช่มั้ย? แต่พอเอาแนวคิดนี้มาปรับเป็นอนิเม มันเลยได้ใช้จุดนี้เป็นประโยชน์ในการเล่าเรื่องเยอะมาก ลูกเล่น และพล็อต จนถึงจังหวะหักมุม หลอกคนดูได้จนรู้สึกว้าวมาก

ถ้าใครเคยดูแนว Durarara มาก่อน จะมีกลิ่นอายคล้ายนิดหน่อย แต่ไม่เหมือน มันคือแล้ว Mystery ผสมกับองค์ประกอบหลายอย่าง บวกกับการออกแบบตัวละคร นิสัยตัวละคร ทุกอย่างมันเจ๋งมาก


Nomad: Megalo Box 2

ภาคต่อของ Megalobox อนิเมออริจินอลที่ได้แรงบันดาลใจจาก "ก้าวแรกสู่สังเวียน" โดยภาคนี้เปลี่ยนมุมมองการเล่าจนการเริ่มต้นอาจจะทำคนดูผิดคาดกันไปเยอะมาก

เนื้อเรื่องยังคงโฟกัสที่ "โจ" ที่หลังจากชนะงานแข่ง Megalobox ในซีซันแรกแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะสดใส แต่ไม่ ทุกอย่างพังทลาย โจเดินทางเร่ร่อน ต่อยมวยตามสนามแข่งเล็กๆ หาเงินอยู่ไปวันๆ และเสพติดยาแก้ปวด และมีอาการหลอน

เป็นการเล่าเรื่องที่กระแทกหน้าคนดูไม่น้อย แต่ก็เป็นเสน่ห์ของเรื่องนี้ด้วย เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละคร และตัวละครที่แต่ละตัวมีบทบาทของตัวเอง มีความ "เท่" ในแบบของใครของมัน ทั้งตัวละครหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่กลายเป็นที่รักของคนดู

เพลงประกอบนั้นยอดเยี่ยมมาก มาก มาก ตัว Soundtrack ประกอบนั้นทำให้คนดูขนลุกไม่น้อยในหลายๆ ฉาก เสียงเอฟเฟกต์ก็เช่นกัน และเพลง OP/ED ก็คัดสรรมาได้เข้ากับอารมณ์ของเรื่องสุดๆ

กลายเป็นอีกเรื่องโทนหม่น ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ อีกเรื่อง ทำไมปีนี้อนิเมหม่นๆ มันเยอะจังวะ...


Shiroi Suna no Aquatope

อนิเมออรินอลของ PA Works ที่ทุกคนที่รู้จักชื่อสตูดิโอนี้ได้ยินแล้วต้องตั้งหน้าตั้งตารอเป็นแน่แท้ เพราะเคยฝากผลงานออริจินอลที่โด่งดังไว้หลายเรื่อง อย่างชื่อดังๆ ที่น่าจะติดหูคนในวงการก็คงหนีไม่พ้น Hanasaku Iroha

Shiroi Suna no Aquatope มีเซ็ตติ้งหลัก คือตัวละคร อาชีพ และความใฝ่ฝัน โดยใช้ธีมประกอบคือ "ทะเล"

ทะเลในที่นี้มีความหมายหลากหลายอย่างมาก ตั้งแต่ระดับพื้นฐานที่ถูกนำมาเป็นธีมของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในเรื่อง สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ ตลอดจนแนวคิดที่ว่า ทุกชีวิตล้วนมาจากทะเละ และกลับสู่ทะเล

การดำเนินเรื่องราวของ Shiroi Suna no Aqautope พาเราไปสำรวจความคิดของตัวละครหลัก การใส่องค์ประกอบ Slice of Life เข้ามาทำให้รู้สึกเหมือนเราเดินไปด้วยกันกับตัวละคร คิดไปด้วยกัน และใช้ชีวิตไปด้วยกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจที่มาและความรู้สึกของตัวละครได้ดี แต่ก็ได้เห็นมุมมองจากคนภายนอก และคนที่รู้จัก

ถ้ากล่าวให้ถูก Shiroi Suna no Aqautope น่าจะเป็นอนิเม Slice of Life + Coming of age คือการที่โฟกัสไปที่การเติบโตของตัวละคร การก้าวผ่านความผิดหวัง การเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ที่เราจะเห็นว่าแต่ละคนก็มีช่วงเวลาดีและเลวร้ายแตกต่างกันไป

แต่นอกจากเรื่องของตัวละครแล้ว ธีมทะเล ที่หยิบมาใช้ก็มาได้เอามาใส่ลวกๆ แต่เป็นการเลือกมาอย่างประณีต มีการศึกษาข้อมูลมาอย่างละเอียดมาก และยังได้ส่งข้อความเรื่องสิ่งแวดล้อมให้คนดูอย่างไม่ฝืนอีกด้วย นี่เลยกลายเป็นอนิเมออริจินอลที่ควรแก่การได้รับคำยกย่องอีกเรื่องของปีนี้

ควรค่าแก่การพูดถึง

Idoly Pride / Selection Project

อนิเมไอดอลทั้งคู่ มีความคล้ายกันในหลายจุด แต่ก็มีจุดเด่นของตัวเองทั้งคู่

Idoly Pride โดดเด่นที่งาน production จัดเต็มมากเพราะเป็นโปรเจคใหญ่ที่ขายตั้งแต่อนิเม มังงะ ยาวไปถึงเกมมือถือ และได้ทีมนักพากย์จาก Music Ray'n (สังกัด Sony) ทั้งรุ่นเก่าผลงานแน่น และรุ่นใหม่ที่เดบิวท์ก็มาจับงานนี้เลย จึงไม่ได้แปลกใจที่จะมีทุนมาอัดเยอะขนาดนี้ เพลงก็ปล่อยออกมาเยอะมาก รวมแล้วน่าจะเกิน 20 เพลงในปีเดียว

ในส่วนของ Selection Project ดูแล้วอาจจะด้อยกว่า แต่ก็ชูจุดเด่นที่เพลงและการเต้น ที่ใช้ 3D CG ช่วยได้อย่างคุ้มค่า และคอนเทนต์ทีมไอดอลนักพากย์ที่ปล่อยคลิปเต้นประกอบเพลงออกมาเว้นระยะจากอนิเมไม่นาน ทำให้ยัง keep ผู้ชมได้เรื่อยๆ และจากการสังเกตก็เห็นได้ว่าทักษะของทีมนั้นดีจริง พร้อมทั้งประกาศจัดงานไลฟ์ต้นปี 2022 รอแล้วด้วย

เรียกว่าแม้เราจะผ่านยุคไอดอลล้นตลาดมาแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่เล่นกับไอดอลอยู่เรื่อยๆ และก็มีคนที่ทำผลงานออกมาได้ดีด้วย สองเรื่องนี้เลยยังเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง


86

แอคชัน ไซไฟจากนิยายที่ยอดขายดีมาก และในพาร์ทแรกก็ทำผลงานได้ค่อนข้างดี ทั้งงานภาพ นักพากย์ และเพลงประกอบ (จาก Hiroyuki Sawano) เรียกว่าใครหาแอคชันที่เดือดๆ เครียดๆ ก็เอาเรื่องนี้ไปดูได้เลย

แต่พาร์ทสองที่มาเริ่มฉายช่วง Fall 2021 กลับมีปัญหาการสร้าง ทำให้ตอนขาดช่วง และยังไม่จบ มีอีกบางตอนที่ต้องเลื่อนไปฉายมีนาคม 2022 ผมเองก็เลยยังค้างอยู่ ไม่ได้ไปดูต่อ


Sakugan

สารภาพว่าเพิ่งดูไป 2 ตอน แต่สำหรับตอนเปิดตอนแรก ก็ทำให้ชอบเรื่องนี้ไปแล้ว เลยเอามาแนะนำ แค่นี้แหละ ใครชอบแนวผจญภัย + หุ่นนิดๆ น่าจะชอบได้ไม่ยาก