รีวิวทริปโตเกียวต้นตุลาฯ 2018 EP 3: Edo-Tokyo Museum, TeamLab Borderless และหนีไต้ฝุ่นกลับบ้าน

รีวิวทริปโตเกียวต้นตุลาฯ 2018 EP 3: Edo-Tokyo Museum, TeamLab Borderless และหนีไต้ฝุ่นกลับบ้าน

เข้าสู่วันที่ 2 ของทริป หลังจากที่เมื่อวานนี้ลุยฝนไปดูดอกไม้ไฟมาแล้ว แต่แรกแผนวันนี้ว่าจะแวะไปดู Sensouji ที่ Asakusa พร้อมหาข้าวกินแล้วค่อยเดินทางไป Edo-Tokyo Museum แต่เพราะพยากรณ์อากาศบอกว่าไต้ฝุ่นจะพาดผ่านโตเกียวคืนนี้ดึกๆ น่าจะต้องกลับบ้านเร็วกว่าที่คาด ก็ปรับแผนโยก Asakusa ไปวันอื่นแทนเพื่อร่นตารางขึ้นมา

ออกจากที่พักราวๆ 9 โมงครึ่งแบบชิวๆ หวังได้นอนเยอะพร้อมๆ กับหนีจังหวะรถไฟแน่น เดินไป 7-11 ใกล้ทางลงรถไฟไต้ดินแล้วก็จัดข้าวปั้นกันมาโซ้ยอยู่หน้าร้าน แล้วก็ซื้อน้ำขวดติดกระเป๋านิดหน่อยแล้วก็เดินทางไป Edo-Tokyo Museum

ผนังในสถานีรถไฟ อันนี้ไม่รู้ว่าทำเป็นลาย หรือเอาของจริงมาอัดจนได้ลาย

สถานีรถไฟที่ใกล้กับ Edo-Tokyo Museum สุดก็คือสถานี Ryokoku ซึ่งมีทั้งของ JR และ Toei ที่ใช้บัตร Tokyo Metro ได้ ออกจากสถานีเดินไปอีกนิดเดียวก็เจออาคารแล้ว อาคารมันโดดเด่นพอสมควร เดินผ่านยังไงก็หาเจอ

เรียกว่าอะไรดี เหมือนชั้นพักบนอาคาร มีลานกว้างๆ บูธขายตั๋วก็อยู่ชั้นนี้

ค่าเข้าถือว่าไม่แพงมาก ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 600 เยนสำหรับผู้ใหญ่ พอได้ตั๋วแล้วจะมีบันได้ดูแปลกตาพาขึ้นไปจุดจัดงาน

เหตุผลที่ให้ขึ้นบันไดไปก็เพราะว่าจุดที่จัดแสดงนั้น เราจะเดินเข้าไปชั้นบนของห้องจัดแสดงแล้วค่อยเดินวนไปมาจนลงมาชั้นล่างในตอนหลังนั่นเอง

งานจัดแสดงที่มาดูวันนี้จะเป็นส่วนที่เค้าจัดแบบถาวรครับ เพราะฉะนั้นจะมาฤดูกาลไหนก็เป็นแบบนี้แหละ ภาพรวมจะเป็นการพยายามเล่าเรื่องตามลำดับเวลาจากสมัยเอโดะ ให้เห็นความเป็นอยู่ ข้าวของเครื่องใช้ ความเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งเริ่มเปลี่ยนมาเป็นโตเกียว เทคโนโลยีที่เข้ามาและญี่ปุ่นเป็นผู้สร้างเอง แม้กระทั่ง pop culture ก็ยังหยิบมาเล่า

เหมือนเค้าจะเคลมด้วยว่าที่นี่มีจำนวนโมเดลขนาดจิ๋วเยอะมาก มีจุดนึงที่เยอะเป็นพิเศษคืออันนี้

มีลูกเล่นให้คนที่เดินผ่านหยิบกล้องส่องทางไกล หาโมเดลที่ระบุไว้ในเมืองให้เจอด้วย สนุกดีครับ จะเห็นได้ว่านอกจากจะจัดแสดงได้สวยงามแล้วยังดึงดูดคนได้เพิ่มอีกด้วย อ้อ แล้วก็เกือบลืมบอกไปเลย แทบทุกโซนในนี้มีป้ายภาษาอังกฤษอธิบายครับ ต่างชาติเดินเองก็ได้อ่านรู้เรื่อง หรือถ้าใครเบื่ออ่าน ก็มีไกด์อาสาสมัครด้วย เป็นคนญี่ปุ่นที่พูดต่างชาติได้ มาเป็นรอบๆ ไม่ได้เยอะมาก

ที่ชั้นล่างก็จะมีอาคารที่จำลองสถานที่จัดการแสดงในอดีต แต่ทว่ามีให้คนมาแสดงโชว์ให้ดูจริงๆ ด้วยครับ ตอนนั้นก็เจอรุ่นลุงๆ ป้าๆ เข้ามาแสดงดนตรี ไม่ได้ใส่ใจมากแต่ก็แอบๆ มองอยู่ น่าสนใจดี

โซนที่พูดถึงอาวุธและสงครามก็มีเช่นกัน มีพวกระเบิดสมัยสงครามโลกที่อเมริกามาหย่อนไว้ด้วย ใครชอบประวัติศาสตร์น่าจะมาโคตรคุ้มเลยแหละครับ ขนาดผมเองไม่ได้รู้ลึกมาก็ยังรู้สึกว่าเดินเพลินเลย

น่าเสียดายที่แพลนวันนี้ต้องคุมเวลา ไม่เช่นก็อยากเดินดูอีกสักหน่อย โดยรวมๆ คือแรกๆ อ่านเยอะ หลังๆ เป็นอ่านผ่านๆ พอเก็ตไอเดียที่เค้าสื่อในการจัดแสดง ใครชอบแนวนี้ผมว่าน่าจะเดินได้ทั้งวันจริงๆ ตอนที่ตัดสินใจออกมาเพื่อไปยังโซน Odaiba ก็ราวๆ บ่ายได้แล้วครับ เตรียมตัวไปหาข้าวกลางวันกินที่นู่นเลย ก็จะไปลุย TeamLab Borderless ต่อ

สายรถไฟในโซน Odaiba เป็นอีกสายนึงที่ไม่เกี่ยวกับทั้ง JR, Tokyo Metro ครับ สายนี้ชื่อว่า Yurikamome ครอบคลุมทั้ง Odaiba และมีวิ่งออกไปเชื่อมโซนในเมืองอีกนิดหน่อย รถที่วิ่งจะเป็นรถอัตโนมัติ ไม่มีคนขับ ใครที่มีแพลนเดินหลายที่ใน Odaiba ก็สามารถหาซื้อ Pass เหมาทั้งวันได้นะครับ แต่ผมคำนวณแล้วแวะมาเข้าแค่ TeamLab Borderless แล้วเดินทางกลับ ยอมจ่ายด้วย SUICA / PASSMO ดีกว่า ยังถูกกว่าหน่อย

Tokyo Big Sight สถานที่จัดงานอันโด่งดัง (อันนี้ถ่าย Monochrome)

ลงสถานี Aomi ก็จะอยู่ในระยะเดินไป TeamLab Borderless ได้ครับ แต่ก่อนอื่น... ฝนตก! ขอไปหลบฝนแล้วก็กินข้าวก่อน เดินมั่วๆ สุ่มๆ เข้าห้างตรงนั้นเพื่อหาข้าวกิน ช่วงนั้นคนยังแน่นพอสมควรเลยครับ น่าจะเพราะว่าเป็นวันอาทิตย์ด้วยก็เลยยิ่งแน่น ห้างที่เดินเข้าไปชื่วอ่า Venus Fort เหมือนตั้งใจทำธีมข้างในให้ดูเป็นยุโรป (น่าจะเลียนแบบอิตาลีมั้ง) เดินไปๆ มาๆ ก็เลยเจอ Food court อยู่ชั้นบนๆ

แกงกะหรี่และนานของเพื่อน
แกงกะหรี่แฮมเบิร์กชีส? ที่สั่งมากินเอง

หลังจากกินข้าวเสร็จก็เดินไปต่อแถวเข้า TeamLab Borderless คนเยอะมาก แต่ว่ารันคิวไม่นานมาก โชว์บัตรที่เป็น QR ผ่านแอปของเค้าได้เลย หรือจะเป็นจากอีเมลก็ได้เหมือนกัน ราคาตั๋วที่นี่จะค่อนข้างแพงอยู่ครับ สำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 3200 เยนต่อหัว ตกราวๆ พันกว่าบาทเลย แต่พอเดินเข้าไปแล้วก็

อลังการงานสร้างมากครับ ด้วยความ Geek ระหว่างเดินก็ยังคุยกัเพื่อนอยู่เลยว่ามันต้องใช้โปรเจคเตอร์ทั้งหมดกี่ตัว มีเซนเซอร์อะไรบ้าง เชื่อมภาพระหว่างเครื่องกันยังไง ฮ่าๆ

สักพักก็เลิกคิด แล้วก็เดินต่อแบบโหมดรับชมอย่างเดียว

มุมมหาชนครับ เป็นพื้นนูนขึ้น แล้วฉากหลังเหมือนน้ำตก รอบๆ ห้องก็จะมีบรรยากาศที่เปลี่ยนไปตลอด มีเส้นๆ วิ่งบ้าง ดอกไม้บ้าง ตัวอักษรบ้าง แล้วถ้าเดินมาอีกหน่อย จะมีทางเดินยาวๆ ท่อนนึงที่ฉายภาพเหมือนขบวนแห่ ไม่รู้เค้าเรียกอะไร แต่ทำภาพมาสวยดี แล้วอนิเมชันก็ดีด้วย ดูแล้วมีชีวิตชีวา แล้วจะเดินตามทางยาวๆ นี้ไปแล้วก็เดินกลับด้วย

สักพักก็มาเจอห้องจัดแสดง "ไฟ" ครับ เป็นไฟสปอตไลท์ แต่ความอลังการคือมันถูกโปรแกรมคุมไว้หมด แล้วมีทั้งห้องน่าจะหลายสิบตัวมากๆ

จัดเป็นห้องที่ผมชอบมากเป็นพิเศษเลย มีหลายแพทเทิร์น ถ่ายรูปพอได้สวยอยู่ แต่ดูด้วยตาเพลินกว่า จังหวะไฟกับดนตรีมันดึงดูด คนเข้าห้องมาแต่ละคนคือหยุดยืนดูหมดเลย แล้วค่อยรู้ตัวเดินหลบๆ หาที่ประจำของตัวเอง

หลังจากนั้นก็เดินต่ออีกพักนึง ก่อนจะเดินแวะไปร้านน้ำชาของ TeamLab เอง ที่เป็นร้านชาธรรมดาๆ ไม่ได้ ต้องเอา Digital Art มายำด้วย พอเค้าเสิร์ฟชาเท่านั้นแหละครับ โปรเจคเตอร์ที่แอบอยู่ข้างบนก็ยิงภาพดอกไม้ลงบนถ้วยชาของเรา

เห็นอย่างนี้ปั๊บ ผมกับเพื่อนก็เข้าหมด "แกล้ง" ซอฟต์แวร์เลยครับ ลองย้ายถ้วย ปรากฏว่ามันจับตามได้แล้วสร้างดอกไม้ใหม่ขึ้นมา ก็เล่นต่อทั้งเอียง ทั้งเอาหลบระหว่างที่สร้างดอกไม้อยู่ พบว่าเค้าดักเคสได้ดีทีเดียว ดอกไม้ที่สร้างอยู่แล้วเราย้ายหลบ มันจะสลายออกมา กลีบแยกๆ ไปด้วย

ส่วนรสชาติชาก็โอเคครับ ไม่ได้ว้าวอะไร แต่เห็นเค้าโชว์ว่าเป็นชาสกัดเย็นด้วยนะ Cold drip มาทำนองนั้น

กลับมาเดินต่ออีกหน่อย ก็คิดว่าน่าจะเดินครบแล้วมั้ง แล้วก็ได้ยินประกาศด้วยว่าเนื่องจากไต้ฝุ่นจะเข้า รถไฟสายต่างๆ จะหยุดวิ่งตั้งแต่ 2 ทุ่ม ก็เลยตัดสินใจว่าไปเก็บตกอีกที่นึงแล้วก็เตรียมกลับที่พักดีกว่า

ใช่ครับ พวกเราเดินต่อมาหา Divercity ไม่ได้เพื่อเข้าห้าง แต่มาหากันดั้มนั่นเอง ด้วยสภาพท้องฟ้ากำลังมืดและฝนกำลังจะตกก็เลยได้โทนสีนี้มา ตอนนั้นคือยังไม่ 6 โมงเย็นดีครับ

พอถ่ายรูปสักการะเสร็จ ฝนก็เริ่มปรอยๆ ลงมา พวกเราก็เดินต่อไปหาสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด แล้วก็นั่งมุ่งหน้ากลับที่พัก แต่ก็นึกได้แว้บนึงว่าเวลายังมี เลยไปลง Asakusa ก่อน เพื่อที่จะลองไปสอบถามเรื่อง Nikko Pass เรื่องการเดินทาง แต่ปรากฏว่าเค้าปิดแล้ว เข้าใจว่าเพราะไต้ฝุ่นจะเข้าก็เลยปิดเร็ว ก็ทำอะไรไม่ได้ เดินทางกลับที่พักกัน

Asakusa

แวะ 7-11 ซื้ออาหารกล่องกันนิดหน่อย ของกินเล่นนิดนึง แล้วก็เดินไปที่พัก ตรงข้ามที่พักมีซูเปอร์อยู่ ก็เลยเดินเข้าไปสำรวจของกินว่ามีอะไรน่าสนใจมั้ย ผมเลยได้มันญี่ปุ่นมา เหมือนจะแค่ 100 เยนเองเท่านั้น อุ่นๆ กินกับอากาศตอนนั้นคือดีงามมาก แล้วพวกเราก็เข้าห้องพัก หลบฝนเป็นที่เรียบร้อย

คืนนั้นราวๆ 5 ทุ่มลมแรงมาก ระดับที่ว่าอยู่ในห้องได้ยินเสียงลมตี เพื่อนที่อยู่โตเกียวอีกที่นึงบอกว่าบ้านสั่น แต่พ้นคืนนี้พายุก็จะผ่านไปละ โชคดีมากๆ ที่มันเข้ากลางคืน ไม่กระทบแผนเที่ยวมาก

ระหว่างที่ผมเปิดดูพวกพยากรณ์อากาศหลายๆ เว็บอยู่ก็เจอ AccuWeather บอกว่าพรุ่งนี้ ที่ Fujikawaguchiko แดดจ้า ไร้เมฆ... ก็เลยตัดสินใจกับเพื่อนปุบปับตรงนั้นเลย พรุ่งนี้ ไปฟูจิกัน