Life in Brisbane Day 7: ลองใช้ชีวิตวันหยุดแบบคนบริสเบน

Life in Brisbane Day 7: ลองใช้ชีวิตวันหยุดแบบคนบริสเบน

คืนก่อนได้ลองค้นหากันว่าเสาร์แรกที่มาบริสเบนเราควรจะไปที่ไหนดี จริงๆ ก็เจอหลายกิจกรรมที่น่าสนใจ แต่ก็มาสะดุดกับสถานที่ที่เรียกว่า Bakery Lane ซึ่งเป็นย่านที่เค้าว่ารวมร้านอาหารและขนมเบเกอรี่อยู่ในที่เดียวกัน แล้วจะจัดกันคึกคักเฉพาะเสาร์แรกของเดือนด้วย พอดีกับจังหวะเรามาพอดี เลยตัดสินใจไปกัน

ตื่นเช้าก็เตรียมตัวแล้วเดินออกไปตามแผนที่เลย Bakery Lane ตั้งอยู่ในย่าน Fortitude Valley ใกล้ๆ กับที่พักก็เลยเดินสบาย แล้วก็เคยผ่านโซนนี้มาบ้างแล้วด้วย แว้บแรกที่ไปถึงก็หาไม่เจอ จนเห็นว่ามันคือตรอกนึงที่มีป้ายอยู่ข้างบนว่าคือ Bakery Lane เลยเดินเข้าไป

มีที่นั่งอยู่พอประมาณ สำหรับสั่งอาหารรอบๆ มานั่งทานได้ แต่ที่แปลกใจคือร้านค้ายังเปิดไม่ทั่วเลย แต่ก็มีร้านอาหารนึงที่คนสั่งมากินเยอะ ก็เลยสั่งบ้าง หน้าร้านในตรอกนั้นจะชื่อว่า Cake & Shit เชื่อมกับร้านหน้าตรอกที่ชื่อ The New Black

ตอนนั้นคิดไม่เยอะ กลัวคนเยอะเลยรีบสั่งง่ายๆ เป็นครัวซองค์กินกับเนยและแยม (A$5) มา พร้อมกาแฟ Cold Brew แก้วนึง (A$6)

ตรงนั้นก็มีคนเล่นดนตรีร้อง+กีตาร์สดอยู่ ก็นั่งฟังไปเพลินๆ คนก็เริ่มเข้ขามาเพิ่มกัน ที่นั่งเริ่มจะไม่พอ อากาศตรงนั้นดีมากเพราะในตรอกไม่โดนแสงแดด และมีลมพัดผ่านเข้ามาเรื่อยๆ จัดว่าคิดถูกที่มาที่นี่

อาหารมาก็นั่งกินพร้อมกับนั่งเรื่อยเปื่อยกันพักใหญ่ร่วมชั่วโมง ก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินทางไปที่อื่นต่อ

ตามแผนที่วางไว้คือจะไปดูพิพิธภัณฑ์สักหน่อย เพราะข้ามฝั่งแม่น้ำบริสเบนมันจะมี Queensland Museum อยู่ แต่จากที่ดูแผนที่แล้วคิดว่าเดินไปคงหอบ เลยหาเรื่องใช้ Lime Scooter กัน เป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่วางอยู่ทั่วเมือง โหลดแอปมาใส่บัตรเครดิตแล้วสแกนปลดล็อกขี่ได้เลย แล้วอยากจอดกก็จอดแล้วกดล็อกในแอป จังหวะเจอครบคนก็เลยขี่ยาวจาก Fortitude Valley ยาวผ่านเมืองข้าม Victoria Bridge ไปได้เลย

ดีที่ทางฟุตปาธในเมืองค่อนข้างดี มีหลุมบ้างแต่น้อยมาก ทำให้ควบคุมไม่ยากนัก ตัวสกู๊ตเตอร์มีการควบคุมหลักๆ แค่คันเร่งตรงมือขวา และเบรกที่มือซ้าย ล้อค่อนข้างฟรีเพราะสามารถไหลไปตามแรงได้โดยไม่ต้องกดเร่งเครื่อง

ในพิพิธภัณฑ์มีหลายโซน (ชั้น) ให้เลือกเดิน โดยจะมีโซนที่เปิดฟรีให้เยอะพอสมควร เข้าไปเป็นชั้น 2 ก็มีซากสัตว์และกระดูกสัตว์โบราณทั้งหลายจัดไว้ให้เดินดู โดยเป็นสัตว์ที่เค้าค้นพบในทวีปออสเตรเลียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหมึกยักษ์ (ตัวยาวเกินความสูงคน) โครงกระดูกของไดโนเสาร์ และสัตว์เลื้อยคลานยุคดึกดำบรรพ์

ชั้นนี้ไม่มีอะไรเยอะเลยเดินขึ้นไปชั้น 4 ที่มีสัตว์สตัฟฟ์เยอะมาก ยังคงเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ หลายคนน่าจะทราบดีว่าทวีปนี้มีสัตว์หลากหลายมาก รวมถึงสัตว์มีพิษก็เยอะ (แมงมุมกับงูเพียบ) เดินเพลินดี มีคำอธิบายแปะไว้ทุกตัวเลย

ตั้งแต่เข้าพิพิธภัณฑ์มาก็พบว่าคนเยอะมาก ครอบครัวพาเด็กๆ มากันหนาแน่น เดินต้องระวังชนคนอยู่เหมือนกัน และสังเกตว่าที่ชั้น 3 จะเป็นนิทรรศการพิเศษ ตอนนี้จัดเป็นโชว์อุปกรณ์ของ NASA ที่เคยใช้ทำภารกิจ เอามาโชว์พร้อมบรรยายให้เดินดูกัน ค่าเข้า A$21 แต่ยังไม่ได้เข้าไป เพราะจะไปที่อื่นต่อ

ก่อนเดินออกก็ไปสะดุดกับโซนขายของที่ระลึก ตุ๊กตาเยอะ ของเล่นก็เยอะ แต่ไปเจอชุดหนังสือภาพเล่าเทคฯ สำหรับเด็ก น่ารักดี เข้าใจง่ายจริง แต่ว่ามันพื้นฐานมากๆ

ออกจากพิพิธภัณฑ์เดินไปข้างๆ เป็น Art Gallery ที่จัดแสดง Modern Art ให้เดินเข้าชมฟรี แต่ต้องฝากกระเป๋าด้านหน้า ฝากฟรี ได้แท็กติดตัวไว้แลกคืนตอนออก ภายในอาคารจัดสวยมาก สวยและเงียบ บรรยากาศดี เดินชมก็สบาย นั่งพักก็ผ่อนคลาย (หลับง่ายเลย)

อาร์ตในนี้จะเข้าถึงยากหน่อย แต่ก็ดูน่าสนใจดี และก็มีบางโซนที่ตรงไปตรงมา ดูแล้วอ่านคำอธิบายได้เลย เดินดูผ่านๆ แล้วก็ออกไปข้างนอกต่อ

ช่วงนั้นราวๆ 3 โมงเย็นจะ 4 โมงแล้ว ก็เดินไปหาอะไรกินเล่นติดตัวแล้วเดินไปริมน้ำใกล้ๆ South Bank ระหว่างทางเห็นว่าเค้าติดโคมแดงแบบจีนไว้ เตรียมจัดงานช่วงวิสาขบูชาด้วย เจากนั้นก็นั่งชิวหยิบหนังสือมาอ่านตรงสนามหญ้ากันจนพระอาทิตย์เริ่มใกล้ตกดิน ถึงราว 5 โมงกว่าๆ

พอเห็นว่าเริ่มเย็นเลยเดินกลับกัน พอข้ามสะพานกลับไปแล้ว ผ่านหน้าคาสิโนก็ไปพบกับศิลปินพ่นสเปรย์ โชว์ผลงานไว้และเปิดหมวกให้คนบริจาค ระหว่างนั้นก็กำลังพ่นสเปรย์ทำภาพเหมือนคนอยู่ เลยยืนดูเค้าทำอยู่พักใหญ่ จัดว่าเป็นอะไรที่แปลกตาดี คนยืนมุงกันเต็มเลย และฝีมือเค้าก็ไม่ธรรมดาจริงๆ

มีวิดีโอที่ถ่ายมาด้วย

จากนั้นก็เดินกลับที่พัก และพรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวย้ายที่พักไปยังบ้านที่จะอยู่กันอีกยาวนาน