Life in Brisbane Day 22: Last Day in Brisbane

เช้าตื่นมา กินข้าวเช้าเสร็จก็เดินทั่วบ้านเก็บของใช้ส่วนตัวให้ครบ จะได้จบการแพ็คกระเป๋าให้เสร็จ แล้วก็หยิบเอาสตรอว์เบอร์รี่กับเค้กกล้วยหอมจากตลาดเมื่อวานออกจากตู้เย็นเก็บไปด้วย แอบหิ้วกลับไทย ฮ่าๆ

ราวๆ 10 โมงก็ออกจากบ้าน แก๊งพี่เค้าก็มีนัดไป Gold Coast กับคนไทยที่อยู่ที่นี่ เค้าชวนไป ส่วนผมเองก็เรียก Ola เพื่อไปสนามบิน ข้อดีของการแข่งขันกันระหว่างแอปเรียกรถคือ โปรโมชันเดือดมาก ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นก็ได้ลด 30% สำหรับไปกลับสนามบิน เลยนั่งประหยัดกว่าที่คาดไว้พอตัว

7-11 ร้านนี้เก๋ดี

ระหว่างทางก็ผ่านโซนเมืองที่ไม่คุ้นนิดหน่อย ก่อนจะเริ่มคุ้นขึ้นบ้างเพราะเป็นทางเข้าเมืองที่มาวันแรก

แป๊บๆ ก็ใกล้ถึงสนามบินแล้ว จริงๆ ตอนแรกก็ว่าจะมารถไฟดู เพราะบัตร Go Card ยังเหลือตังอยู่เลย แต่คิดไปคิดมา ไม่กล้าเสี่ยงกับการขึ้นเครื่องบิน ก็เลยมา Ola นี่แหละ

เชื่อว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่าชานเมืองที่นี่เค้าเป็นยังไง ก็ค่อนข้างโล่งๆ นะ พื้นที่เขียวเยอะเหมือนกัน คล้ายๆ กับเราอยู่ไทยแล้วไปต่างจังหวัดนั่นแหละ

พอมาถึงสนามบิน ก็เดินหาเคาน์เตอร์เช็คอินก่อน ระหว่างทางก็ไปเจอหุ่น เข้าใจว่าน่าจะทำเหมือนชาติพันธุ์อะบอริจิน คนท้องถิ่นที่นี่ล่ะมั้ง มีจิงโจ้ด้วย

แต่หน้าจิงโจ้โคตรเหมือนหมาเลย ให้ตายเหอะ

น่าจะเป็นเรื่องปกติของสายการบิน แม้ว่าจะเป็นสายการบินต่างชาติ (เคสนี้คือการบินไทย) แต่พนักงานประจำที่เคาน์เตอร์ประเทศนั้นๆ ก็จะจ้างคนประเทศนั้นๆ มาทำงาน หรือบางทีก็พนักงานเดียวกัน ทำให้กับหลายสายการบินที่สนามบินนั้น

รอไม่นานมากก็ได้ Boarding Pass มาครบ พนักงานพูดคุยเฟรนด์ลี่มาก ตอนนี้กระเป๋าโหลดเรียบร้อย เดินตัวปลิวละ ห่างจากตรงนั้นมานิดนึงก็เป็นพวกร้านขายของนู่นนี่ เป็นกระเป๋าเดินทางบ้าง แล้วก็หันมาเจอ Flight Centre ที่เป็นเอเจนซีขายตั๋วเครื่องบิน/ทัวร์ที่ใหญ่สุดของที่ออสเตรเลีย ไปไหนก็เจอจริงๆ ตั้งแต่มาที่นี่วันแรกก็เดินผ่าน เจอคนขับ Uber ที่บอกว่าทำอยู่ Flight Centre ด้วย แล้วเหมือนว่าคนที่นี่เค้ายังนิยมการเดินไปติดต่อเอเจนซี่กันมากกว่าการจองออนไลน์ด้วยนะ

เดินวนๆ ในสนามบินอีกหน่อยแล้วก้มาเจอกับ

ตู้ขาย Powerbank และหูฟัง แปลกดี ในไทยน่าจะมีบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะขายนักท่องเที่ยวได้

ในเมื่อหมดภาระแล้ว เหลือแค่รอเวลาขึ้นเครื่องค่อยเข้าเกตไป ก็เลยเดินสำรวจข้างในสนามบินนิดหน่อย แล้วก็นึกได้ว่า ลองเอาบัตร Go Card ไป refund เงินคืนดีกว่า เพราะเหลือในบัตรอยู่ราว A$ 50 ได้ (พันกว่าบาท) สถานที่สำหรับทำเรื่องก็คือฝั่งสถานีรถไฟ เลยเดินไป

สถานีรถไฟเค้าอยู่อีกฝั่งนึง อารมณ์เหมือนข้ามถนนไปก็จะเจอ แต่ว่ามีทางเดินเชื่อมให้ก็เดินจากสนามบินไปได้เลย มีป้ายบอกเวลารถไฟมาสำหรับปลายทางต่างๆ ด้วย อันซ้ายถ้าจำไม่ผิดคือ Gold Coast

เดินจุดสุดทางก็จะเจอเคาน์เตอร์ขายตั๋ว และมีตู้ขายอัตโนมัติอยู่ใกล้ๆ สำหรับคนมาขอคืนเงินก็สามารถติดต่อเคาน์เตอร์ได้เลย เค้าก็จะให้กรอกเอกสารนิดหน่อย แล้วก็ได้ตังคืน พวกค่าธรรมเนียมเปิดบัตรด้วย เย้~

ส่วนนี่คือบรรยากาศรอบๆ สนามบิน ถ่ายมาจากทางเชื่อมนั่นแหละ

รอขึ้น TG474

ได้ตังแล้วก็เดินกลับไปสนามบิน ยังเหลือเวลาอีกเกือบ 2 ชั่วโมงก่อนจะขึ้นเครื่อง จะทำอะไรดีล่ะ ในมือมีตังอยู่ และเหรียญให้กระเป๋าตังก็มีเยอะ แล้วก็เมื่อเช้ากินข้าวมาไม่เยอะมาก โอเค หาข้าวกินดีกว่า คิดว่าเป็นมื้อเช้า+เที่ยงไปเลยแล้วกัน

เดินผ่านร้าน Red Rooster แล้วก็เกิดสนใจ เพราะเห็นร้านนี้หลายที่แล้ว น่าจะเป็นร้านเฟรนไชส์ของที่นี่ อารมณ์ Chester's Grill บ้านเรา แต่แทนที่จะเลือกกินไก่ กลับสนใจ Fish 'n Chips เพราะอยากรู้ว่าเป็นยังไง และเหมือนจะเรียกได้ว่ามันเป็นอาหารประจำชาตืที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 555

เนื้อปลาแน่นและนุ่ม ตอนแรกนึกว่าจะเป็นปลาแบบโกลเด้นฟิช ปลาทอดเนื้อเละๆ นุ่มๆ ผิดถนัดเลย มาเป็นชิ้นเลย แล้วมาทั้งหมด 3 ชิ้น กับเฟรนช์ฟรายด์อีกเพียบ กินหมดนี่คือโคตรอิ่ม ปลาโรยพริกไทยเกลือก็อร่อยแล้ว แต่จริงๆ ขอซอสเค้าได้นะ

ความเฟลของการใช้เงินคือ ตอนแรกเลือกเมนูและประเมินหยิบเหรียญมารอแล้ว แต่ดันเจออุปสรรควันอีสเตอร์ครับ ราคาบวกเพราะค่าแรงวันหยุดเพิ่ม โดยเพิ่มประมาณ 2-2.5% มั้ง กลายเป็นคำนวณเผื่อแล้วคิดเลขผิดเฉยเลย

กินเสร็จก็จัดกาแฟร้านข้างๆ แก้วนึง เพราะวันนี้ยังไมไ่ด้กาแฟเลย แล้วสังเกตว่าสิ่งหนึ่งที่ร้านค้าในบริสเบนมีกันค่อนข้างแพร่หลายคือ เค้ารับ Bitcoin ว่ะครับ

Alipay, itcoin แล้วก็ QR อะไรสักอย่าง

แต่ไม่ได้ลองนะ จริงๆ ก็มีแอป wallet อยู่ แต่คิดว่าเคลียร์เงินเหรียญในกระเป๋าดีกว่า

Food court ในสนามบินที่นี่สงบดี

เอาล่ะ จะเที่ยงแล้ว ข้าวก็กินเสร็จแล้ว ไปเข้าเกตเลยแล้วกัน เพราะเดี๋ยวยังต้องไปทำเรื่อง Tax Refund หูฟังที่ซื้อมาด้วย พอผ่านเกตเสร็จก็เผลอเดินเลยเข้าโซน Duty Free ไปเลย ไม่ทันเห็นเคาน์เตอรื Tax Refund ฮ่าๆ ไปวนในนั้นอยู่นาน ซื้อของฝากเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเช่น เนื้อจิงโจ้แห้ง (Jerky) ที่อร่อยกว่าที่คาด แล้วก็ไปเจอโปรโมชัน Bose QuietComfort II ใน Duty Free ลดราคาโหด

ราคานี้คือสูสีกับ WH-1000XM3 ที่ซื้อจากอเมซอนเลย (แต่นั่นยังไม่หักภาษี) เลยลงเอยด้วยการที่มีพี่ที่รู้จักฝากซื้อ ฮ่าๆ

หลังจากนั้นถึงวนกลับไปเจอที่ทำ Tax Refund รายละเอียดอ่านได้ที่อีกบล็อกที่เคยเขียนไปก่อนแล้วได้เลย ซึ่งพบว่าต่อคิวนานมาก ทำจริงแป๊บเดียว เพราะเรากรอกข้อมูลมาล่วงหน้าแล้ว แป๊บๆ ก็จะบ่ายแล้ว ก็เลยไปยังเกตที่รอขึ้นเครื่อง

สิ่งนึงที่แอบตกใจคือ แค่พ้นโซน Duty Free มาก็คือเกตเลย เรียงไล่อยู่หลายสิบเกต ต่อกันแบบไม่รู้สึกว่าเป็นคนละโซนเลยก็ว่าได้ โชคดีว่าเกตที่ขึ้นมีร้านกาแฟพอดี ก็เลยหาที่นั่งด้วยการซื้อน้ำกินนี่แหละ ได้กาแฟผสมซิตรัสมา

หลอดเป็นกระดาษ กินไปพักใหญ่ก็เริ่มยุ่ยๆ ละ ฮ่าๆ

แล้วก็พบว่าคิดตังเผื่อผิดอีกละ โดนบวกเปอร์เซ็นต์วันอีสเตอร์ ได้เหรียญกลับมาจนได้

สุดท้ายเหรียญชุดนี้เอาไปขายต่อคนที่ออฟฟิศที่มารอบต่อไปในราคาถูก
เครื่องมารอแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาขึ้นเครื่อง

เหมือนว่ากำหนดการจะเลทนิดหน่อยด้วย เพราะในตารางบอกว่าเป็นเที่ยวบิน 14.00 น. แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงถึงได้ขึ้นเครื่อง

ขึ้นเครื่องมาได้นั่งขวาสุดของแถวกลาง แล้วซ้าย 2 ที่เป็นคู่ลุงป้า เค้าบอกว่าเค้าจะไปเที่ยวกรีซ แต่ว่าแวะลงที่ไทยเปลี่ยนเครื่องก่อน คุยกันนิดหน่อย พอบอกเค้าว่าเราเป็นคนไทย เค้าเลยบอกว่าขากลับเค้าแวะอยู่กรุงเทพแป๊บนึงด้วย

สำหรับการขึ้นเครื่องบิน ช่วงหลังไม่มีปัญหาเรื่องเสียงละ เพราะอย่างตอนขามาก็มีตัวช่วยอย่าง Sony WI-1000X ที่เป็นหูฟัง In-Ear Noise Canceling ตัดเสียงได้ไปเยอะ แถมฟีเจอร์ปรับการตัดเสียงตามความดันบนเครื่องบินก็ใช้ได้เห็นผลพอตัว (แอบรู้สึกว่าเหมือนเบสโดนเร่งเล็กน้อย) แต่รอบนี้ขากลับได้ Sony WH-1000XM3 มาใช้แทน (หิ้วให้เพื่อน แต่ใช้ด้วย) การตัดเสียงด้วยไมค์ที่ตำแหน่งดีกว่า และเป็นการครอบหู มันดีกว่าเยอะเลย มีบ่นยาวๆ ให้อ่านที่นี่

บอกตามตรงว่าตอนอยู่บนเครื่องนี่โคตรเบื่อ ขามานี่ราว 8 ชั่วโมงครึ่ง ขากลับนี่เป็น 9 ชั่วโมงกว่าที่เบื่อมาก เพราะจอดูหนังบนเครื่องก็โบราณ แถมสีเพี้ยนติดเขียวอีก ว่าจะดู Green Book แม่งเลย Green จริงๆ เขียวจนยอมแพ้ ไม่ดูแล้ว

ไฟลท์ 9 ชั่วโมงนี่จะบอกว่าราวๆ 4 ชั่วโมงคือการบินออกจากตัวแผ่นดินของออสเตรเลีย พื้นที่มันใหญ่มากกกกกกกก

ภาพนี้ถ่ายไล่เลี่ยกับภาพบน เวลาออสเตรเลียคือ 2 ทุ่มครึ่งได้ ถ้าเป็นเวลา ณ ตำแหน่งที่อยู่ก็ราวๆ 5 โมงครึ่งมั้ง (อิงอินโดนีเซีย)

และในที่สุดก็ใกล้ถึงไทย แค่เข้าแผ่นดินตรงนี้เข้ามาก็รู้สึกว่าสบายใจละ อีกไม่นานก็จะถึงซะที อยู่บนเครื่องนานๆ ก็น่าเบื่อไปหน่อย วิธีแก้เบื่อมีแค่หูฟังฟังเพลงนี่แหละ ไม่มีอะไรพกมาอ่าน มาเล่นเลยตอนนั้น

และแล้วก็กลับถึงไทย ถึงกรุงเทพที่อากาศร้อนกว่าบริสเบนประมาณ 5 องศา แต่ถ้าเป็นตัวเลข feel like ก็ห่างเป็น 10 องศาเลยทีเดียว

เรื่องตลกตอนมาถึง ระหว่างรอกระเป๋าอยู่ตรงสายพาน ก็เจอกับคุณ Andrew กงสุลที่เคยไปพบแล้วทานอาหารกลางวันด้วยกัน เค้าก็มาไฟลท์เดียวกันด้วย แต่คงนั่งอยู่คนละโซนเลยไม่เห็นกันบนเครื่อง ก็ทักทายกับเค้านิดหน่อย ก่อนจะแยกกันไป

ทั้งหมดนี้ก็เป็นอันจบซีรีส์ Life in Brisbane แสนยาวนานประจำบล็อกครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นโอกาสที่ดีที่ได้รับจากบริษัท TakeMeTour ที่ให้ได้ไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ พบปะคนต่างชาติ ปรับวิถีชีวิตและการทำงานในต่างประเทศ

ครับ ก็เป็นอันจบเพียงเท่านี้ ไว้เดี๋ยวอาจจะเปิดซีรีส์ใหม่เร็วๆ นี้ ก็รอติดตามกันได้ครับ :)