Life in Brisbane Day 12-13: มีนัดทานข้าวที่สถานกงสุลไทยประจำบริสเบน

Life in Brisbane Day 12-13: มีนัดทานข้าวที่สถานกงสุลไทยประจำบริสเบน

วันที่ 12

เข้าวันที่ 12 ของการมาอยู่ที่บริสเบน (วันที่ ณ ตอนนั้นคือ 11 เมษายน) วันนี้ก็ออกไปทำงานตามปกติครับ ตื่นเช้า อาบน้ำ (บางทีก็สงสัยว่าคนที่นี่เค้าอาบน้ำตอนเช้ากันมั้ย แต่พวกเราคนไทยก็อาบกันหมด ฮา) กินข้าวเช้าแล้วก็เรียก Ola ไปที่ทำงานอีหรอบเดิม มีโปรลดราคาแล้วมันถูก ก็ใช้วนไป

บางทีก็งงว่าเลือกเส้นทางยังไง วันนี้ได้ผ่าน Story Bridge เฉย

ช่วงนี้เรื่องสถานที่ทำงาน และกระบวนการเข้างานเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว วันไหนที่ไม่มีอีเวนท์อะไรก็จะเป็นวันทำงานตามปกติ เคลียร์งาน กินข้าวกลางวัน บ่ายมาก็เช็คอิน (Stand up meeting ของบริษัท) กับทีมที่ประเทศไทย ความแตกต่างที่ชัดที่สุดของการนั่งทำงานที่ออฟฟิศที่นี่ เทียบกับที่ไทยคือ ความเงียบ ที่นี่มันเงียบสงัดมาก เพราะให้ Co-Working Space ที่ทาง QUT CEA เค้าจัดให้บริษัทเราได้นั่งมันมีคนใช้ร่วมด้วยแค่อีกเจ้า-สองเจ้า ซึ่งตอนเค้าทำงานเค้าก็เงียบสนิท เอนหลังพิงเก้าอี้ยังได้ยินเสียงกันเลย

ตกเย็น ทีมอื่นๆ เค้าก็ทยอยกลับบ้านกัน มีแต่ทีมเรานี่แหละที่ยังอยู่ ส่วนใหญ่ก็นั่งกันถึง 6 โมงครึ่ง หรือทุ่มนึงถึงกลับบ้านกัน ขากลับก็ตามเคย Ola สิรออะไร รวดเร็วและหารกันประหยัดสุดๆ

เอาจริงๆ ช่วงนี้ก็มีบัตรมหาวิทยาลัยเค้าแล้วแหละ ได้มาประมาณ 2 วันก่อน ได้สิทธิ์เข้าถึงบริการต่างๆ ของมหาวิทยาลัยฟรีด้วย รวมถึงรถบัสรับส่งระหว่าง 2 แคมปัส ที่เป็นโซนในเมือง (Garden Point) กับที่มานั่งทำงาน (Kelvin Grove) ห่างจากเมืองมาหน่อย แต่ต้องขึ้นรถตามป้ายที่เค้ากำหนด แล้วจาก Garden Point ไปบ้านก็ต้องเดินอีกราว 2 กิโลฯ ช่วงนี้มีโปร Ola ก็เลยใช้ๆ ไป สบายดี

บัตรประจำตัว เซนเซอร์โค้ดไว้หน่อย

วันนี้ช่วงเย็นกลับมา พี่ๆ เค้าออกไปวิ่งกัน ก่อนไปก็หุงข้าวไว้ ไอ้เราก็หยิบของมาทำอาหาร กะว่ารอทำกับข้าวเสร็จ ข้างหุงเสร็จพอดีกิน วันนี้หยิบเห็ดหั่นจาก Aldi ที่ซื้อมาวันก่อนมาผัดรวมกับเห็ดเข็มทองจาก Coles ที่ไปซื้อของเข้าบ้านกันวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผสมเนื้อไก่ไป เหยาะน้ำมันหอยตาม แค่นี้ก็รสชาติโอเคแล้ว แต่กลัวจะอ่อนไปเลยเพิ่มเกลือป่นและพริกไทยดำตามไปอีกหน่อย หน้าตาออกมาไม่เลวเลย

เสร็จแล้วก็ใส่จานไว้ ยกไปตักข้าว... ยังไม่สุก!

ยัง Cook อยู่ก้รอไปดิ

ก็ยืนรอไปน่าจะร่วม 5 นาทีได้กว่าหม้อหุงข้าวจะดีด ข้าวพร้อมกิน แต่การตักข้าวหุงเสร็จใหม่ๆ นี่สัมผัสได้ว่ามันจะยังแฉะๆ อยู่ เนื้อสัมผัสตอนกินมันเลยไม่ค่อยอร่อยนัก ส่วนกับที่เป็นผัดเห็ดใส่ไก่นั้นถือว่าผ่าน รสชาติถูกปาก แต่ไม่เค็มเกินไป

เห็นภาพถ่ายมาคู่กับไวน์ ไม่ค่อยได้กินหรอก แต่พี่เค้าสั่งมาเป็นลัง เพราะไวน์พวกนี้ราคาถูกและรสชาติจัดว่าดี ถ้าจำไม่ผิดสั่งมารอบละโหล ราคาแค่ราวๆ 700 กว่าบาทเอง แพลตฟอร์มสั่งไวน์เค้าทำตัวเป็นเหมือนตัวกลางรับออเดอร์และจัดส่งพวกไวน์อินดี้ ก็คือพวกที่ผลิตกันปริมาณไม่มาก เทียบกับวงการเบียร์ก็น่าจะคล้ายๆ Craft Beer นั่นแหละ


วันที่ 13

วันนี้เข้างานตามปกติ แต่ว่ามีนัดหมายช่วงเที่ยง เพราะทีม QUT CEA ชวนไปพบปะเจ้าหน้าที่กงสุลประเทศไทยประจำบริสเบน โดยนัดไปทานอาหารกลางวันกัน ช่วงเช้าเราก็เข้างานทำงานกันพักหนึ่ง ก่อนที่ทีม CEA จะมาเรียก เราก็นั่ง Uber กันไป (คนที่นู่นเค้าไปไหนก็เรียกรถเอา สะดวก ไม่ต้องหาที่จอด)

ระหว่างทางมีเจอป้าย Red Hat ด้วย

ความประหลาดใจอย่างนึงคือ ตอนแรกแอบคิดว่าสถานกงสุลมันต้องเป็นอาคารแยกออกมาแน่เลย ปรากฏว่าผิดถนัด มันแฝงอยู่ในโซนเมือง (Central Business District: CBD) เลย แถมพีคกว่าคือเคยเดินผ่านตึกนั้นแล้วด้วย เพียงแต่ว่าตัวสถานกงสุลจริงๆ ต้องขึ้นลิฟต์ไปอีก

ขึ้นลิฟต์มาก็เจอออฟฟิศเค้า เดินเข้าประตูไป 2 สเตประยะสั้นๆ ก็เป็นโต๊ะใหญ่สำหรับนั่งกินข้าวเลย ไม่กล้าถ่ายรูปมาเท่าไร ฮ่าๆ

คนที่รอต้อนรับพวกเราคือคุณ Andrew Park เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ของไทยประจำนครบริสเบน ซึ่งคุ้นเคยกันกับทีม CEA และตัวเค้าเองก็มีภรรยาเป็นคนไทยอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย บังเอิญเค้าไปอีกคือเค้าเคยมาใช้บริการนำเที่ยวของ TakeMeTour เราเองด้วย และชอบเอามากๆ

นั่งคุยกับสักพัก อาหารกลางวัน... ยังไม่ทันมา เค้าก็เอาเบียร์มากองบนโต๊ะแล้ว ตั้งแต่กลางวันเลยทีเดียว 555

ก็เปิดกันไปคนละกระป๋อง ยกเว้นคนไม่นิยมเบียร์ก็ขอน้ำเปล่าธรรมดานี่แหละ สักพักอาหารถึงมา แน่นอนว่าเป็นอาหารไทยครับ ฝีมือภรรยาท่านกงสุลนั่นเอง

ไม่ทันได้ถ่ายรูปไว้ตอนมาใหม่ๆ แต่ก็พอมีภาพอยู่บ้าง เมนูวันนี้ประกอบไปด้วย

  • ผัดเผ็ดเนื้อ ที่นอกจากเครื่องจะจัดจ้านรสไทยแล้ว ยังได้เนื้อที่โคตรอร่อยของออสเตรเลียมาผัดด้วย อันนี้เด็ด พี่ที่ปกติไม่กินเนื้อยังติดใจ
  • ผัดผัก ธรรมดาๆ แต่ก็ไว้ตัดรสเผ็ดของอาหารจานอื่นได้ดี
  • ยำหัวปลีกุ้ง อันนี้อร่อย รสนวลๆ กินเพลินมาก
  • แกงส้มปลา ... ไม่รู้ว่าปลาอะไร คงปลาสักพันธุ์ของที่นี่ แต่เนื้อแน่นดี เครื่องแกงหอมอร่อย

เรียกได้ว่าอิ่มอร่อยและแก้อยากอาหารเผ็ดไปได้เลยจริงๆ

หลังจากกินกันเสร็จก็ช่วยเค้าเก็บจานเข้าไปในครัว แล้วก็พบว่ายังไม่หมด เค้ากำลังเตรียมไอศกรีมให้อีกคนละถ้วย ตัวไอศกรีมก็เป็นรสวานิลลาธรรมดานี่แหละ แต่เค้าเพิ่มทอปปิ้งให้ เป็นผลไม้ที่หาได้ทั่วๆ ไปในละแวกนี้ ได้แก่ ราสเบอร์รี่, สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และลูกฟิก (Fig) ที่ตอนแรกก็งงว่าคืออะไร มันคือมะเดื่อนั่นเอง ทราบจากภรรยาคุณแอนดรูว์ว่าคนที่ออสเตรเลียเค้ากินกันเป็นปกติ ผิดกับที่ไทย

เอ้อ แล้วก็ทำให้ประหลาดใจจริงๆ มะเดื่อแม่มเสือกเข้ากับไอศกรีมวานิลลาสัสๆ

พอได้ของหวานเรียบร้อยก็ได้เวลากลับ ก็ร่ำลาคุณแอนดรูว์แล้วก็กลับไปทำงานต่อที่ออฟฟิศยาวๆ

พอตกเย็นพี่ๆ เค้าก็มีประชุมประจำสัปดาห์กันกับทีม CEA ก็ไปนั่งคุยกัน และไอเดียของทีมเค้าก็จำมีเบียร์มาประกอบการประชุม เพราะว่าเป็นวันศุกร์ ก็ได้อานิสงค์มานั่งซดไปทำงานไปก่อนกลับบ้าน (ทั้งๆ ที่ท้องว่างนี่แหละ เข้าเส้นเลือดแล้วเอาซะง่วงเลย)

วันนี้ออกมาเรียกรถกลับบ้าน อากาศเย็นๆ เพราะมีฝนลงไปหน่อย ขนาดได้เบียร์มายังมีหนาววูบๆ บ้างเลย

กลับถึงบ้านก็ยังหยิบเห็ดมาผัดกินเช่นเดิม แต่วันนี้ไม่มีเห็ดเข็มทองแล้ว แต่มีต้นหอม (อันเบอเร่อ) มาซอยๆ ใส่ไปผัด วัตถุดิบที่เหลือก็เดิมๆ คือเนื้อไก่ เห็ดหั่น เกลือ พริกไทย น้ำมันหอย แต่งวดนี้อยากได้แฉะๆ ก็ราดน้ำลงไปเพิ่มให้พอขลุกขลิก ราดข้าวสวยกิน อร่อยดี

ทั้งหมดนี้ก็เป็นอันจบไปอีกหนึ่งวันครับ

บล็อกหน้าจะพาไปเดินดูตลาดนัดวันหยุดของที่นู่นกัน :D