รีวิวทริปโตเกียวต้นตุลาฯ 2018 EP 8: ชิมราเมง Michelin Star และเดินละแวก Ginza
กลับมาสู่โตเกียว หลังจากที่ไปตะลุยไกลถึง Nikko มา สำหรับวันนี้ก็เริ่มวันไม่รีบร้อน ออกจากที่พักเกือบจะสิบโมง เพื่อเป้าหมายมื้อเช้าบวกกลางวันของเราที่พิเศษกกว่าวันอื่น เพราะวันนี้เราจะไปกินราเมงดีกรีมิชลินสตาร์ 1 ดาวกัน
ร้านที่จะไปชื่อว่า Tsuta ที่ชื่อร้านเต็มๆ ชื่อว่า Tsuta Soba ที่อาจจะทำหลายๆ คนงงว่าแล้วสรุปมันราเมงหรือโซบะ ร้านเค้ามีทั้งคู่ครับ แต่เจ้าเมนูที่ได้ดาวมิชลินมาครอบครองก็คือตัวราเมง ทำให้ทุกคนพากันมากินราเมงที่ร้านนี้ และร้านนี้ยังเป็นร้านราเมงร้านแรกในญี่ปุ่นที่ได้ดาวมิชลินด้วยครับ ถึงได้โด่งดังไปทั่ว
สำหรับการไปกินนั้นก็ไม่ใช่ว่าเดิมดุ่มๆ เข้าไปนั่งกินได้เลย เนื่องจากคนจำนวนมากก็อยากมาลิ้มรสราเมงเช่นเดียวกับพวกเรา ทำให้ต้องมีการทำระบบบัตรคิวขึ้นมา
จังหวะที่พวกผมเดินทางไปถึงร้านคือประมาณ 10.40 น. ซึ่งก็จ่ายเงินมัดจำเป็นราคา 1,000 เยน พร้อมรับบัตรคิวสำหรับมากินช่วง 13.00 น. ใครมาเร็วก็ได้เร็ว มาช้าก็ได้รอบหลังๆ ไปครับ โดยรอบเร็วสุดที่จะได้เริ่มกินคือ 11.00 น. ส่วนรอบสุดท้ายที่ยังให้บริการคือรอบ 16.00 น. เข้าใจว่าถ้าบึ่งมาตั้งแต่ 6-7 โมงเช้าก็น่าจะหวังรอบ 11.00 น. ได้แหละครับ
ระหว่างนั้น พวกเราซึ่งยังไม่ได้กินอะไรแต่เช้า หวังว่าจะไปลองโฉบดูร้านข้าวปั้นสามเหลี่ยม หรือ โอนิกิริ ชื่อดังใกล้ๆ นั่นก็คือร้าน Onigiri Bongo อันเป็นที่ร่ำลือว่าอร่อยจนไม่น่าเชื่อว่าข้าวปั้นมันจะอร่อยได้ขนาดนั้น จากตำแหน่งแล้วคือเดินจาก Tsuta ไปได้ครับ ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล
ความเฟลก็บังเกิด เพราะเมื่อไปถึงแล้วร้านยังไม่เปิด และระหว่างนั้นก็เลยค้นข้อมูลเพิ่ม จึงรู้ว่าไม่ได้ดูเวลาเปิดร้านมา ตอนนั้นเหมือนจะเจอว่าเปิดเอาเที่ยงเลย ถ้าหวังรอกินก็อีกร่วมชั่วโมง แถมถ้ากินก็คงไปซัดราเมงต่อไม่ไหวแน่ๆ เลยยอมแพ้ แล้วไปหาอะไรทำแทน
เพื่อนผู้ศรัทธาใน MUJI ก็อยากไปเดินสาขาที่ Ikebukuro ระหว่างรอเวลา ผมเองไม่รู้จะทำอะไรก็เลยไปด้วยกันเลยนี่แหละ จะได้รู้ว่า MUJI ที่ญี่ปุ่นนี่มันต่างกับไทยยังไงบ้าง เราก็เลยยอมขึ้นรถไฟฟ้า JR จากสถานี Ootsuka ตามแนว Yamanote ไป Ikebukuro กัน
MUJI ที่นี่มีถึง 2 ชั้น และขายแทบทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่เสื้อผ้า ยันของกินต้องปรุง และแบบพร้อมกินเลย เดินไปเดินมาก็ยังเจอเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในบ้าน ยันพาวเวอร์แบงค์ จังหวะหิวๆ กันเลยจัดน้ำผลไม้มาคนละกระป๋อง... แต่เอ๊ะ มันไม่ใช่กระป๋อง มันทำมาจากกระดาษ เหมือนกล่องน้ำผลไม้เลย แค่เป็นทรงกระบอกแทน
เดินเล่นพักใหญ่ก็เดินทางกลับไปยังสถานี Sugamo ใกล้ร้านราเมงอีกรอบ เพราะใกล้ถึงเวลานัดแล้ว แต่พอมาถึงจริงก็ยังก่อนเวลาหน่อยๆ ก็เลยเดินเล่นละแวกนั้น แถวๆ นั้นเหมือนมีโซนตลาดเล็กๆ เน้นอาหารพร้อมกินมากกว่า ไม่เห็นของสด แต่เกาะกระจุกกันเป็นแนวเลย โรงแรมก็มี น่าจะเป็นทำเลที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวเหมือนกัน
หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปที่ร้านราเมง เพื่อต่อคิว จังหวะนั้นน่าจะมีคนมาต่อคิวรวม 10 กว่าคนได้ พวกเราก็เลยต้องไปต่อหลังแล้วรอตามลำดับ ขั้นตอนการเข้าไปกินตรงนี้ ทางร้านจะออกมาบอกคนลำดับหน้าสุดว่า ใก้ลถึงแล้วละ ขอบัตรคิว เอา 1,000 เยนคืนไป แล้วไปกดตู้สั่งอาหารในร้านก่อน ยื่นใบสั่งอาหารให้ แล้วออกมารอหน้าแถวอีกทีหนึ่ง พอที่นั่งว่าง พนักงานร้านถึงจะออกมาเรียกเข้าไปนั่งอีกรอบนั่นเองครับ
คิวของพวกเราคือ 13.00 น. ก็จริง แต่กว่าจะไปเข้าไปนั่งก็คือ 13.34 น. ได้ครับ แล้วรออาหารอีกพักนึงราวๆ 5 นาที ระหว่างรอผมก็เห็นป้ายอธิบายวัตถุดิบกับเมนูของร้าน
คือทุกเมนู ยกเว้นเมนูซุปชิโอะ (ซุปเกลือ) จะใช้น้ำสต็อก 3 สูตรผสมกันเป็นหนึ่งเดียวนั่นเอง ประกอบไปด้วยซุปไก่, ซุปหอยและสาหร่าย แล้วก็ซุปปลาแห้ง สำหรับเมนูที่สั่งไป ของผมเลือกสั่งโชยุโซบะ ส่วนเพื่อนผมสั่งชิโอะโซบะ (อาจจะงงกับชื่อ สรุปมันจะโซบะหรือราเมง เอาเป็นว่ามันคือเส้นก้ำกึ่งระหว่างราเมงกับโซบะ แต่กินราดซุปแบบราเมงครับ) ...พออาหารมาถึง
อร่อยครับ มันอธิบายไม่ค่อยถูก แต่กินแล้วทุกอย่างมันอร่อย เส้นไม่เละ ออกแนวพอดีๆ กระชับตัว กันได้สัมผัส หมูชาชูก็นุ่มแต่ยังไม่ถึงขั้นเละ ได้เคี้ยวนิดหน่อย จุดเด่นที่สังเกตได้ก็คือซุป เป็นซุปที่รสชาตหนัก แต่ aftertaste ไม่หนักเหมือนพวกซุปทงคทสึ สำหรับราคาเมนูละราว 1,700 เยนแล้ว ผมว่าถือว่าคุ้มค่ามากๆ แล้วปริมาณก็ไม่น้อยนะ พวกผมซัดกันไปเกือบจะกินไม่หมดเอา
อิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อแรกและนับเป็นมื้อกลางวันเรียบร้อย เป้าหมายต่อไปของพวกเราก็คือไปเดินเล่นกันแถว Ginza กัน
แถวนั้นฝนตกอยู่ด้วย พวกเราก็เลยต้องเดินไปกางร่มไป ไม่รู้นับเป็นฝนหลงฤดู หรือปกติของปลายหน้ามรสุม (นี่ขนาดไต้ฝุ่นเพิ่งผ่านไปเองนะ)
เป้าหมายแรกที่อยากมา Ginza อาจจะต่างจากหลายๆ คนที่มาย่านนี้ เพราะผมจะมาสักการะ Ginza Sony Park นั่นเองครับ
Ginza Sony Park เป็นการสร้างอาหารอรรถประโยชน์ทับบนตึกออฟฟิศเก่าของ Sony ที่มีแผนจะสร้างใหม่ แต่พอทุบของเก่าเสร็จได้นำมาปรับให้เป็นพื้นที่ใช้สอยเสียก่อน นอกจากนี้แล้วยังมีคอนเซปต์แปลกๆ หลายอย่าง เช่น
- ต้นไม้ที่ประดับในพื้นที่ทั้งหมด สามารถถูกซื้อได้ แต่ละต้นมีป้ายอธิบายพร้อมราคาอยู่เลย
- ตัว "สวน" นั้นเป็นอาคารที่มีชั้นใต้ดินหลายชั้น จากบนสุดขึ้นระดับพื้นดิน สามารถลงไปข้างล่างจนเชื่อมกันรถไฟฟ้าได้เลย (แต่ตอนผมไปยังไม่เปิด)
- ชั้นบนสุดมีรถที่ดัดแปลงไว้ให้เป็นห้องจัดรายการวิทยุ
- แต่ละชั้นจะมีร้านค้าหลากหลาย มีทั้งวนเวียน และอยู่นาน
ตอนนั้นมีร้านกาแฟอยู่ที่ชั้นเหลื่อมกับพื้นดิน พวกเราเลยเข้าไปซัดกาแฟร้อนกันสักหน่อย ฝนกำลังตก ขอร้อนๆ สักแก้วน่าจะไม่เลว
กาแฟเป็นของร้าน Turret Coffee เป็นหนึ่งในร้านกาแฟที่วนมาจัดชั่วคราวเท่านั้น เมนูที่ผมสั่ง จำไม่ได้แล้วว่าเป็นกาแฟตัวไหน แต่ที่จำได้แม่นคือ มีการใส่ผงบลูเบอร์รี่ด้านบน ตอนกินไปจะได้รสกาแฟและกลิ่นบลูเบอร์รี่ชัด กินแล้วสดชื่นมาก
สำหรับโซนที่ลงมาข้างล่างอีกหน่อย ก็จะพบกับนิทรรศการ ที่วนเวียนกันมาจัด อารมณ์เหมือนพวกหอศิลป์เทือกนั้นเลย แต่เริ่มมาแรกๆ Sony ก็เป็นคนจัดเอง โดยได้นำเทคโนโลยีต่างๆ เอามาสร้างงานศิลปะ จัดว่าว้าวอยู่ไม่น้อยครับ ผมกับเพื่อนนู่นนี่ทีต้องมานึกว่าเบื้องหลังมันทำงานกัน แบบที่เจอก็มีโต๊ะ ที่ไฟข้างบนจะฉายตามคนที่อยู่ตรงโต๊ะตลอด ไม่ว่าจะเดินวนไปทางไหน ซึ่งก็เจ๋งดี
หรืออย่างอันนี้ที่ผมถ่ายวิดีโอมา เค้าตั้งของที่ตั้งสมดุลได้เหมือนตุ๊กตาล้มลุก พร้อมกันฉายภาพน้ำไปข้างบนมัน แล้วพอเราไปผลักมัน ให้เอียงมันก็จะปรับภาพน้ำให้กระเพื่อมเหมือนน้ำจริงๆ ด้วย ตามแรงที่เราทำกับมัน
อีกโซนก็จะเป็นโซนเล่นเกม คือจะมีทั้งตั้ง PS4 ไว้ให้คนมาลอง แล้วก็มีโต๊ะที่วาง Xperia Touch ไว้ให้คนเล่นกัน เผื่อใครไม่รู้จัก Xperia Touch เป็นเครื่องที่ฉายกจอได้เหมือนโปรเจคเตอร์ในระยะสั้น แล้วก็มาพร้อมระบบตรวจจับวัตถุที่เข้ามาในบริเวณฉายภาพ เพื่อจำลองการมีปฏิสัมพันธ์เหมือนแตะจอภาพที่ฉาย คล้ายกับมือถือนั่นเอง
พอเรากำลังจะเดินออก ก็ไปเจอกับหุ่นยนต์หมา aibo เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ แต่ค่อนข้างประทับใจที่เล่นกับมันได้สนุกมาก เค้าปล่อยให้มันเดินเล่นอยู่ข้างในอาคารเลย ใครผ่านไปมาก็แวะเล่นกับมันได้เหมือนกับหมาจริงๆ ที่ชอบก็เพราะว่าการจับ การลูบหัวมันมีแอคชันตอบรับกับเราด้วย ดูมันมีชีวิตชีวา ถ้าเจออีกก็อยากไปเล่นอีก น่ารักดี 555
ก่อนจะออกก็ไปเจอกับ Xperia Hello หุ่นที่ Sony ทำมาเพื่อประโยชน์คล้ายพวก Google Home แต่มันมีตาและเสียงของตัวเองพร้อมกับจอด้วย แต่ประโยชน์ที่เค้าเอามาตั้งนั้นไม่ได้มีอะไรมาก หลักๆ คือเรียกให้คนไปตอบแบบสอบถามของสถานที่เท่านั้นแหละ
หลังจากที่เราสำรวจ Ginza Sony Park ทั่วแล้วก็เดินไปเป้าหมายต่อไป นั่นคือร้านกาแฟชื่อว่า BONGEN Coffee ที่แอบอยุ่หลืบนึงของ Ginza การเดินทางแอบลำบากเพราะว่าฝนยังคงตกอยู่ และเหมือนจะหนักขึ้น แต่เราก็มาจนถึง
ร้านแคบมากกกกกก คือเรียกว่าไม่มีที่นั่งก็ได้ คือมีให้นั่งได้ราว 4 คน ซึ่งก็ใช้แย่งๆ กันระหว่างคนรอกาแฟกับคนนั่งกินกาแฟ แต่จุดเด่นคือการตกแต่งร้าน โคตรดี บรรยากาศดีมาก กาแฟมีหลากหลายเกรด ตั้งแต่ Single Origin ธรรมดาไปถึง Geisha ตัวแพง ในร้านมีห้องน้ำด้วยนะครับ
แม้ว่าฝนจะยังตก แต่ก็ยังเดินต่อไป กินกาแฟเสร็จเราก็ไปเก็บแลรนด์มาร์กอีกจุดหนึ่ง ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงไม่ได้ใส่ใจนัก นั่นก็คือ Hibiya Park สวนสาธารณะที่อยู่ในโซนใกล้กับ Ginza เป้าหมายที่เราจะไปไม่ได้ไปนั่งเล่น พักผ่อนแต่อย่างใด แต่ชวนกันกับเพื่อนไปเก็บภาพ Reference อนิเม
จังหวะเดินเข้าไปในสวน เหมือนว่าเค้าเตรียม หรือเพิ่งเก็บของงานอะไรสักอย่างด้วย อาจจะเก็บของหนีฝนกัน
มุม Reference ที่ถูกเอาไปใช้ในเรื่อง Tada-kun wa Koi wo Shinai เพราะเรื่องมันอยู่ละแวก Ginza นี่แหละ แล้วภาพ Key Visual มันเป็นสวนฮิบิยะพอดีเลย
แค่นั้นแหละครับ มาเพื่อแค่นี้จริงๆ 5555
เอาจริงๆ สวนมันค่อนข้างสวยเลยนะ น่าจะดูแลดีอยู่ ในบ่อก็มีปลาคาร์พด้วย แต่วันฝนตกยังงี้ ก็คงไม่เหมาะกับการออกมาเดินเท่าไรนัก
จุดหมายต่อไปคืออยากไปเก็บภาพสถานีโตเกียวอีกรอบ เพราะรอบนี้จะเป็นจังหวะตอนเย็นที่เค้าเปิดไฟไว้ แต่ด้วยฝนที่ยังตกอยู่ เราเลยเปลี่ยนแผนจากการเดินไป ไปขึ้นรถใต้ดินแทน จะได้ไม่เปียกไปมากกว่านี้
ตอนโผล่มาฝั่งสถานีโตเกียว พบว่าฝนเบาไปเยอะแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้ร่มช่วยอยู่
บรรยากาศฝนตกหน้าสถานีโตเกียว ก็นับว่าแปลกดี ที่ชอบคือได้แสงสะท้อนจากพื้นด้วย
เก็บภาพจนพอใจ ก็นั่งรถใต้ดินดิ่งกลับไปที่พักครับ พร้อมกับแวะไป Solamachi ห้างใน Skytree ด้วย เพื่อหาอาหารกินมื้อเย็นกัน
ฝนยังมีอยู่ ทำให้มุมถ่าย Skytree ได้บรรยากาศเปลี่ยนไป กลายเป็นดูเหมือนสูงเสียดเมฆ ไม่ก็มีหมอกอยู่ข้างบนเลย
ส่วนอาหารที่ผมได้กลับมากินก็มีชูชิ Otoro 3 คำราคา 798 เยน (220 บาท) โคตรคุ้มค่าครับ ใครที่ไปญี่ปุ่นแล้วที่พักมีซูเปอร์ใกล้ๆ ควรไปส่องซูชิพวกนี้
และแล้วก็จบไปอีกวันนึงครับ ส่วนวันต่อไปเป็น Free Day ที่ผมกับเพื่อนแยกกันไปคนละทาง จะพยายามรวมภาพมาประกอบกันเป็นเหตุการณ์คู่ขนานเท่าที่ทำได้ดูครับ