รีวิวทริปโตเกียวต้นตุลาฯ 2018 EP 6: วัดเซนโซจิ, พระราชวัง, สถานีรถไฟโตเกียวและอากิบะ

วันนี้ยังคงเป็นอีกหนึ่งวันที่เราตระเวณเที่ยวภายในเมืองกันต่อ โดยจะเน้นตามเก็บจุดหลักที่คนมาเที่ยวโตเกียวนิยมไปกันไม่ว่าจะเป็นอาซากุสะโซนวัดเซนโซจิ ไปเดินในส่วนของพระราชวัง วนไปดูสถานีรถไฟโตเกียว แล้วก็จบวันด้วยการนัดเพื่อนพาเดินอากิฮาบาระหรืออากิบะ

ตื่นสายๆ เช่นเคย น่าจะราว 10 โมงได้ถึงเริ่มออกจากที่พักแล้วนั่งรถไปสาย Asakusa เพื่อไปวัดเซนโซจิหรือวัดโคมแดง แต่เรายังไม่ได้เดินชมวัด เราแค่เดินผ่าน เพราะเราจะไปหาข้าวกินใกล้ๆ นั้น

เดินทะลุนากะมิเสะไปเลย

เผอิญมีคนแนะนำร้านมาเป็นร้านอาหารเช้าแนวตะวันตก เดาจากซื้อร้าน La Grande chalice น่าจะฝรั่งเศสมั้ง

บรรยากาศร้าน เข้าใจว่าตกเย็นก็เป็นบาร์

เค้ามีเซ็ตอาหารเช้าง่ายๆ ราคาประหยัดให้กินครับ อันนี้คือเมนู

จะเห็นว่าราคาถูกโคตร ผมกับเพื่อนสั่ง Croque Monsieur มากันคนละชุด ในราคา 480 เยนนี่จะได้เครื่องดื่มด้วยเลือกได้จาก กาแฟ (เย็น/ร้อน), น้ำส้ม,ชาอู่หลง, เอสเพรสโซ เห็นมีเขียนด้วยว่ากาแฟร้อนเติมได้ 1 ครั้ง

พนักงานค่อนข้างจะสื่อสารกับต่างชาติได้ระดับนึง ไม่แปลกใจเพราะที่นี่เป็นย่านที่นักท่องเที่ยวเยอะพอตัว บริการดีเลยครับ รอสักพักอาหารก็มา

เห็นตอนแรกก็ดูกำลังดี แต่พอหั่นตัวขนมปังกินไปได้ครึ่งนึง... เริ่มอิ่มแล้วเฉย คือกินจนหมดนี่แน่นมาก โคตรคุ้มกันราคา 480 เยนเลยทีเดียว ใครอยากหาตัวเลือกอาหารเช้าแน่นๆ ครบๆ ประหยัดตัง ขอแนะนำเลย

จากนั้นพวกเราจึงเดินออกมาที่โซนวัดเซนโซจิกันอีกครั้ง คราวนี้ก็ตระเวณดูไปเรื่อยๆ คิดว่าเหมือนเดิมย่อยอาหารเมื่อครู่ นักท่องเที่ยวบริเวณนี้เยอะมากจริงๆ แต่คนญี่ปุ่นเองก็มีพอสมควรเหมือนกัน หน้าอาคารหลักก็มีที่ให้จุดธูปไหว้ กับโซนขายเครื่องราง ในอาคารหลักก็จะมีที่ให้โยนเหรียญอธิษฐาน

ฟ้ามัวๆ แต่ก็ยังเห็นสกายทรี

พอเดินเก็บบรรยากาศและภาพได้พอใจ ก็แวะกลับไปแถวร้านอาหารเมื่อครู่อีกรอบ... ถามว่าหิวหรอ เปล่า! แค่อยากมาเก็บ Achievement ร้านขนมชื่อดัง นั่นก็คือ... Coffee Tengoku ร้านแพนเค้กชื่อดังที่เคยโผล่ในซีรีส์ Kantaro นั่นเอง ด้วยจังหวะที่พอจะลงตัวนิดๆ ร้านมันเปิดเที่ยงพอดี เลยไปส่องดู

เดินไปถึงหน้าร้านก็พบว่ามีคนญี่ปุ่นมาต่อคิวแล้วนิดหน่อย พวกเราก็เลยไปต่อหลังเค้า เจอยังงี้ก็โล่งใจละว่าได้กินแน่ๆ คิวยังไม่ยาว พอได้เข้าร้านก็ไปที่นั่งเลย ร้านเค้าแคบๆ เหมือนในซีรีส์นั่นแหละ ที่นั่งมีไม่เยอะมากส่งผลให้คิวข้างนอกก็จะเริ่มยาว

ภาพจากเพื่อน

พอเค้ามารับออเดอร์ ผมก็สั่งเซ็ตแพนเค้กกับกาแฟ เพื่อนผมไม่ได้สนแพนเค้กนักบวกกับอิ่มอยู่เลือกสั่งกาแฟอย่างเดียว เจ้าของร้านเหมือนจะทำอยู่คนเดียวในทุกๆ หน้าที่ ก็เดินเข้าไปครัวที่เรามองเห็นได้อยู๋จากทีนั่ง

เมนูกาแฟเยอะดี // ภาพจากเพื่อน

เมนูกาแฟเยอะมาก เครื่องดิ่มอื่นก็เยอะ ไล่จากบนจะมี

  • Tengoku Original Blend
  • American Coffee (Americano มั้ง)
  • Vienna Coffee
  • Cafe Ole (ใส่นม)
  • Coffee Float / Coffee Jelly
  • ชาดำ + เลมอน / ชาดำ + นม
  • Tea Ole (ใครรู้บอกที มันต่างกับใส่นมปกติยังไง)
  • ชาดำ Ole
  • ไอศกรีม / โคล่า
  • Lemon Squash เลมอนคั้น / น้ำเลมอน
  • Orange Squash ส้มคั้น / โซดาเปล่าๆ
  • ครีมโซดา / เบียร์
กินกับเนย, ไซรัป หรือพร้อมกันเลยก็ได้

ถามว่าอร่อยมั้ย ผมว่าอร่อย แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยได้กินแพนเค้กบ่อยนัก เลยไม่รู้จะบรรยายยังไงดีว่ามันอร่อยกว่าทั่วไปยังไง โดยรวมคือประทับใจ แถมกาแฟในร้านก็อร่อยด้วย

เสริมกับมื้อเช้า (ที่กินเสร็จ 11 โมง) เมื่อครู่ กลายเป็นโคตรอิ่ม และไม่ต้องหาอาหารกลางวันกินแล้วล่ะ จากนั้นก็เดินทางนั่งรถไฟสาย Ginza ยาวๆ ไปลงสถานี Nihonbashi ใกล้ๆ กับสถานีโตเกียว จากนั้นพวกเราก็เดินเรื่อยเปื่อยกันไปจนถึงหน้าประตูทางเข้า Imperial Palace หรือพระราชวังของจักรพรรดิญี่ปุ่น ทีเ่ปิดให้เข้าชมสวนภายใน

ตอนไปถึงก็จะมีการตรวจกระเป๋าก่อนเข้าไปข้างในนิดหน่อย เพื่อความปลอดภัย ระหว่างที่ต่อแถวรออยู่นั่นแหละ พวกเราก็หันไปทางคูน้ำรอบวังแล้วพบกับ

ห่านใช่มะ ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะตระกูลห่านนี่แหละ มันว่ายไปมาอยู่แถวนั้น มองๆ สักพักเจอว่ามี 2 ตัวด้วย ส่วนในน้ำนั่นเต็มไปด้วยใบไม้ เข้าใจว่าเพราะลมจากไต้ฝุ่นวันก่อนที่พัดผ่านโตเกียวไป

เข้ามาแล้วมองย้อนออกไป นั่นคือเจ้าหน้าที่ตรวจกระเป๋า

มีเพื่อนบอกไว้ก่อนหน้าละ ว่าพระราชวังมาเที่ยวเก้บก็ดี แต่มันไม่ค่อยมีอะไรมากนะ อย่าคาดหวังเยอะ ซึ่งก็เห็นด้วยหลังจากที่ได้เดินอยู่สักพักใหญ่

โซนนี้ที่เข้าไปมันจะเป็นทางเดินกว้างๆ กันสวนไม้ มีอาคารเก่าโชว์อยู่นิดหน่อย แต่น้อยมาก แล้วก็มีเหมือนป้อมเก่าอยู่

จะมีบางคนก็เข้ามาเพื่อพักผ่อน เหมือนเป็นสวนสาธารณะยังงั้นครับ บรรยากาศในนี้จะเงียบๆ บวกกับวันนี้มันครึ้มๆ ก็เลยจะเย็นๆ ด้วย ถ้าเผลอหาที่นั่งหลับตาอาจจะวาร์ปได้โดยง่ายเลยแหละ

เดินด้านในเสร็จ ก็เลยเดินรอบนอกพระราชวังบ้าง เพื่อจะไปดูสะพานหินที่เป็นเอกลักษณ์ ภาพข้างล่างนี่คือตำแหน่งสวนที่เดินตอนแรกครับ จะเห็นว่ามีพื้นที่เดินเยอะพอสมควรเลย แต่ว่าข้างในก็จะโล่งๆ

ตรงหมุดคือทางเข้า แล้วเราก็เดินรอบๆ ในโซนนั้น วนถึงพื้นเขียวๆ ที่แผนที่เขียนว่า Chiyoda City ด้วย

แล้วอันนี้คือสะพานหินที่จะไป

ระหว่างเดินไป ผมก็เจอกับช่องๆ นึงที่มองเข้าไปทางเมืองแล้วเจอกับสถานีรถไฟโตเกียวพอดีเลย

เอาตามตรงคือตรงสะพานนี้ไม่ค่อยมีอะไรครับ พระเอกมันคือตัวสะพานหินนี่แหละ ที่ถ่ายสะท้อนน้ำแล้วมันสวยดี กับประวัติความเก่าแก่ของมันที่คงเหลืออยู่มาตั้งแต่ยุคเอโดะ เห็นว่าสร้างครั้งแรกคือช่วงปี 1624-1627 แต่ของที่ยังอยู่ปัจจุบันนี้ปรับปรุงไปเมื่อปี 1889

นอกจากสะพานแล้วเป็นลานกรวดโล่งๆ

หลังจากชมสะพานเสร็จ เราก็เดินกลับหลังหันตรงๆ ข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อจะเดินไปหาสถานีรถไฟโตเกียว

เดินผ่านร้านคาเฟ่ 1894 ที่เห็นว่าเป็นธนาคารเก่าที่เป็นสไตล์ตะวันตกเอามาทำเป็นร้านอาหารครับ ไม่ได้เข้าไปลอง แต่บรรยากาศน่าจะดีเอาเรื่อง

เดินๆ มาอีกหน่อยก็ได้พบกับหน้าสถานีโตเกียว

ส่วนตัวผมมาที่นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วแหละ แต่งวดก่อนที่มามันมีปิดปรับปรุงพื้นที่บริเวณนี้อยู่ ออกมาจากตัวสถานีแล้วเดินออกมาบริเวณนี้ไม่ได มาคราวนี้เปิดโล่งแล้ว ตัวสถานีที่มีความคลาสสิคนี่มากี่ครั้งก็ไม่เบื่อ แถมบรรยากาศตอนกลางวันกับตอนค่ำก็ต่างกันด้วย วันนี้มาเก็บภาพตอนกลางวันกันไปก่อน

พอใจกับบรรยากาศตรงนี้แล้ว ก็เกือบพอดีเวลานัดเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มาเรียนต่อที่นี่ คุยกันมาล่วงหน้าว่าอยากให้พาเดินเที่ยวอากิบะหน่อย ก็เลยนัดเจอกันที่สถานีอากิบะ แล้วก็เดินตระเวณแถวนั่นยาวเลย

กำลังโปรโมท iPhone Xs // ภาพจากเพื่อน

เอาตามตรงคือจำทางเดินไม่ค่อยได้ละ 555

แต่ตามเก็บร้านยอดฮิตบริเวณนั้นหมดเลย พาไปดูแหล่งว่าตรงไหนขายอะไร หนังสือ สินค้ามังงะ อนิเม เกม รวมถึงแหล่งรวมของมือถือสองราคาถูก ชื่อสถานที่ที่จำได้ก็มีตึก Radio Kaikan (ที่โผล่ใน Stein;Gate) กับ Mandarake ที่รวมสินค้ามือสองราคาประหยัด

ตกค่ำก็เดินไปกินร้านอาหารประจำถิ่นอย่าง Roast Beef Ono

รอคิวนานพอสมควร เพราะชนเวลามื้อเย็น ความเถื่อนคือระหว่างรอคิว เค้าจะฉายวิดีโอวิธีกินให้ด้วย โดยบอกว่าได้มาปุ๊บ ให้ลองชิมเนื้อก่อน จากนั้นค่อยลองกินกับข้าว

น่ากินโคตร

ปรากฏว่าลองทำตามวิดีโอแล้ว เนื้อจะเริ่มไม่พอ ฮ่าๆ เพราะฉะนั้นแนะนำว่าถ้าใครตามมากิน ลองชิมเนื้อแค่นิดเดียวพอ อย่ากินทั้งชิ้น ไม่งั้นจะเหลือข้าวตอนท้ายไม่พอดีเนื้อ

ส่วนของรสชาติต้องบอกว่าเนื้อมันทำมานุ่มมากกกก เป็นวากิวแล้วยังเอามาอบได้ที่ ซอสหวานๆ ไม่รู้เรียกอะไร ราดกับเนื้อ กินกับข้าวร้อนๆ แล้วอร่อยมาก บวกกับความหยุ่นๆ ของไข่ดิบแล้วคือสุด เขียนไปก็หิวไป อยากไปกินอีก ระหว่างกินหน้าเคาน์เตอร์ก็จะเห็นคนในครัวหยิบเนื้อก้อนเบอเร่อออกมาด้วย เห็นแล้วก็เพลินตาดี

หลังจากกินเสร็จ เพื่อนปลีกตัวไปเดินเล่นอีกหน่อย ผมก็เลยไปเดินหาที่นั่ง ไปเจอร้านใกล้ๆ Yodobashi Camera เป็นเชนคาเฟ่ร้านเล็กๆ สั่งช็อกโกแลตมานั่งกิน อร่อยดี

เข้มข้น หวานมัน และน่าจะทำให้อ้วนง่าย

ใกล้ๆ นั้นก็มีคาเฟ่ธีมด้วย เป็นของ SQUARE ENIX มาจัดไว้ แต่ของแต่ละอย่างแพงโคตร

เสร็จธุระตรงนี้ก็เจอเพื่อนแล้วเดินทางกลับที่พัก

อ้อ เหมือนจะยังไม่เคยบอกในบล็อกก่อน แต่ว่าอยู่ที่ญี่ปุ่นนี่โคตรติดใจ Orangina เลย มันคือน้ำส้มอัดลมแบบที่ Starbucks ในไทยขายนั่นแหละ แต่นั่นมันอิมพอร์ตเลยแพง ขวดละ 80 บาทได้มั้ง มาที่ญี่ปุ่นนี่ขวดนึงถูกกว่าเป็นครึ่ง แถมหาได้ตาม 7-11 ใครไม่เคย แนะนำให้ลอง หวานกำลังดี อร่อย

แล้วก็จบไปอีกหนึ่งวัน วันนี้กับวันก่อนเป็นวันตระเวณเดินโตเกียวสุดๆ ส่วนวันรุ่งขึ้นนั้น พวกเราจะไป 1-day trip ตะลุยนิกโก้กันครับ