รีวิวทริปโตเกียวต้นตุลาฯ 2018 EP 5: Cafe Hopping ตามแนวจุดเที่ยวหลักโตเกียว

พาดหัวอาจจะดูดึงดูดแค่ชาวคนนิยมคาเฟ่ แต่เอาจริงๆ ก็คือเป็นวันที่ตระเวณตามจุดท่องเที่ยวหลักของโตเกียวนั่นแหละ แล้วก็แว้บเข้าออกร้านกาแฟเด่นในแต่ละแวกไปด้วย โดยวันนี้จะเป็นวันที่เดินชิวๆ ไปเรื่อยๆ หลังจาก 3 วันก่อนหน้านี้มีแต่เดินทางตามตารางเป็นหลัก

เช้านี้เราออกจากบ้านค่อนข้างสาย คือราวๆ 10 โมง ส่วนนึงก็ตั้งใจเพราะเมื่อวานออกแรงไปเยอะ นอนพักชิวๆ กันบ้างดีกว่า วันนี้ยังคงอากาศสดใส ไต้ฝุ่นไปแล้วก็คือไปจริงๆ ไม่เหลือร่องรอยไว้แล้ว ระหว่างทางจากบ้านไปสถานีรถไฟก็เห็นโตเกียวสกายทรีชัดแจ่มแจ๋วอยู่

แต่เช้านี้เราไม่ฝากท้องกับ 7-11 อีกต่อไปแล้วครับ เราจะไปกินอาหารจานโอชากันที่ตลาด Ameyoko ที่ Ueno กัน โดยจากสถานี Oshiage ก็นั่งสาย Asakusa แล้วไปเปลี่ยนเป็นสาย Ginza ที่สถานี Asakusa เอาครับ จากนั้นก็นั่งถึง Ueno ได้เลย

ตู้รถไฟสาย Ginza ที่ได้ขึ้น สวยคลาสสิค

และแล้วเราก็เดินต่อมาจนถึงตลาด Ameyoko อันเลื่องชื่อ

จริงๆ ก็แวะมารอบนึงแล้วแหละ ตั้งแต่คืนวันแรก เพราะแว้บมากินเนื้อทอด Gyukatsu Motomura ใกล้ๆ นี้ แต่วันนี้มาหาอาหารเช้ากัน ตอนแรกก็ยังไม่รู้จะกินอะไรดี ร้านอาหารก็เยอะพอตัว บางคนก็แนะนำให้กินข้าวหน้าปลาดิบแถวนี้ บางคนก็บอกว่าทาโกะยากิ บางคนก็แนะนำข้าวหมูทอด แต่ไม่รู้ตำแหน่ง ก็เลยไม่เจอ 555

สักพักนึง เพื่อนก็ไปได้เมลอนเสียบไม้ ไม้ละ 100 เยน (30 บาท) มากินเล่นรองท้อง

มีสัปปะรดด้วย แต่สำหรับคนไทย มาถึงญี่ปุ่น เมลอนน่าจะถูกใจกว่า 555 // เพื่อนถ่าย

เอาจริงๆ คือเดิมมีแผนว่าจะหาไรกินเล่นเป็นข้าวเช้า แล้วกินข้าวหน้าปลาไหลเป็นข้าวกลางวัน แต่เหมือนว่าสำหรับแก๊งเรานั้น Ameyoko จะไม่ใช่ที่ที่มาเดินใช้เวลาเท่าไรนัก เลยตัดสินใจว่า พวกเราไปกินข้าวหน้าปลาไหลเป็นมือควบไปเลยดีกว่า

ร้านไร้ซึ่งคนต่อคิว เพราะนี่คือวันอังคาร
อันนี้แค่ 800 เยนเท่านั้น อร่อยสุดๆ

ในร้านนั้นมีชาเสิร์ฟฟรี แล้วก็มีซุปให้ทานคู่กับข้าวที่สั่งด้วย กินไปซดซุปไป อร่อยมาก แล้วพอจบก็กลบรสซอสอันจัดจ้านในปากด้วยน้ำชาเย็นๆ สดชื่นสุดๆ ใครผ่านมาย่านนี้ มากินปลาไหลก็ดีนะ แต่ดูวันด้วย ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ล่ะก็ คนทะลัก

หลังจากกินอาหารเสร็จ เราก็หมดธุระในย่านนี้แล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือหากาแฟหลังมื้ออาหารนั่นเอง เป้าหมายแรกของวันนี้ก็คือการไปสักการะร้าน Blue Bottle ที่ห้าง NEWoMAN ที่ Shinjuku

การเดินทางจาก Ueno ไป Shinjuku นั้น ถ้าคนชินกับ JR ก็จะบอกว่านั่งสายวงกลมอย่าง Yamanote ไปโลด แต่พวกเราที่ถือบัตรอาญาสิทธิ์นั่งฟรีของ Metro เลือกที่จะไปเส้นทางของ Metro โดยการเดินทางนั้น เรานั่งสาย Ginza จาก Ueno ไปยังสถานีที่ชื่อว่า Akasaka-Mitsuke แล้วสลับสายเป็น Marunouchi ไปยัง Shinjuku แม้ว่าจะดูอ้อมกว่า Yamanote แต่เวลาที่ใช้นั้นมากขึ้นแค่ราว 7 นาทีเท่านั้นครับ จากนั้นก็เดินต่อจากสถานี Shinjuku มาจนถึงร้าน Blue Bottle

ภายในร้านนี่คนหนาแน่นมาก ปกติร้านกาแฟญี่ปุ่นคนก็พลุกพล่านอยู่แล้ว แต่ร้านชื่อดังอย่าง Blue Bottle นั้นหนาแน่นจริงๆ

หลังจากสั่งกาแฟดริปมายืนกิน ก็สังเกตร้านไปเรื่อยๆ คนมาใหม่ตลอดเวลา ที่นั่งอันน้อยนิดก็เต็มเสมอ จนหันมาสังเกตเจอเคานท์เตอร์ดริปของเค้า ความเท่คือมีรางน้ำทิ้งข้างล่าง แล้วมีช่องให้เสียบถ้วยที่รองกาแฟไป เมื่อเสียบสุดมมันจะพ่นน้ำพร้อมกับหมุนตัวแกนที่เหมือนยาง ปัดๆ รอบๆ ถ้วย เป็นการล้างน้ำเปล่าที่ง่ายและรวดเร็วดีทีเดียว

ก่อนออกก็ได้กาแฟเมล็ดติดกลับมานิดหน่อย

อันนี้ลายแทง Blue Bottle แต่จะบอกว่าสาขาในโตเกียวเยอะละ ไม่ต้องมาถึง Shinjuku ก็ได้

หลังจากได้กาแฟแก้วแรก สถานที่ต่อไปก็คือศาลเจ้าเมจิ (Meiji-jingu) การเดินทางจาก Shinjuku ก็คือเดินไปหาสถานีของ Metro ที่ชื่อว่า Shinjuku-sanchoume ที่อยู่บนสาย Fukutoshin เสร็จแล้วก็นั่งไปยังสถานี Meiji-jingumae ได้เลย จากนั้นเดินต่อนิดนึงก็จะเห็นสถานี Harajuku ที่คนนิยมมาถ่ายรูป ข้ามถนนไปอีกนิดนึงก็จะถึงทางเข้าศาลเจ้าแล้ว

สถานี Harajuku
โทริอิขนาดใหญ่

ศาลเจ้าเมจินั้นสร้างขึ้นถวายจักรพรรดิเมจิ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเป็นศาลเจ้าที่ขนาดใหญ่โตอลังการขนาดนี้ จากปากทางเข้าเดินเข้าไปก็ใช้เวลานิดหน่อย พอเข้าไปถึงตัวศาลเจ้าจริงๆ ก็จะเจอกับโทริอิอีกชั้นนึง

จังหวะวันที่ไปเหมือนจะมีพิธีอะไรของศาลเจ้าอยู่ด้วย เลยได้ดูพระ(?)ทำพิธีนิดหน่อย ก่อนจะเดินวนออกอีกทางของสวน

สาเหตุที่เลือกเดินอ้อมไปอีกฝั่งก็เพราะว่า... ใช่แล้ว เราจะไปร้านกาแฟ ไม่งั้นไม่อ้อมหรอก โคตรเสียเวลา 555

ร้านกาแฟที่จะไปคือร้านบนภาพปกนี่แหละครับ เป็นร้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า Little Nap Coffee Stand

ร้านนี้รู้จักเพราะเคยมีคนแนะนำ ร้านกาแฟแถวบ้านก็แนะนำมาเช่นกัน แต่ตอนไปเหมือนจะกาแฟให้เลือกดริปไม่เยอะ ผมเลยสั่งอเมริกาโน่เย็นมา ก็รู้สึกว่าไม่ได้พิเศษ แต่ก็ไม่แย่ ที่แน่ๆ คือบรรยากาศร้านมันจะชิวแปลกๆ นอกจากพวกผมแล้วก็มีลูกค้าอีกคนสองคนอยู่ นั่งคุยกับเจ้าของร้าน

ลายแทง Little Nap Coffee Stand

มีอีกสาขา เข้าใจว่าเป็นสาขาหลัก เป็นโรงคั่วด้วย เสียดายไม่ได้แวะไป

ทางเดินช่วงนั้นแดดอ่อนๆ อากาศกำลังดี

กินเสร็จอีกร้าน ก็ไปต่ออีกร้านเลยสิ เพราะใกล้ๆ นี้มีร้านดังอย่าง Fuglen อยู่ เป็นร้านกาแฟสัญชาตินอร์เวย์ที่เปิดสาขาในญี่ปุ่น เป็นร้านยอดฮิตของชาวกาแฟและคนที่นี่เอามากๆ

ตัวร้านจะเป็นบาร์ ที่กลางวันขายกาแฟ แล้วตกมืดก็มีจะขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ร้านค่อนข้างเล็กมาก จังหวะเข้าไปคือคนเต็มร้าน รวมถึงนั่งเก้าอี้รอบนอกร้านแน่นหมดเลย มีทั้งคนท้องถิ่นและคนต่างชาติแวะมา ที่นี่เลือกเมล็ดกาแฟได้ และเลือกได้ว่าจะดริปหรือว่าทำแอโรเพรส

หลังจากได้กาแฟพวกเราก็มีมุมเล็กๆ นั่งอยู่พักนึง ค่อยละเลียดจิบกาแฟไป คนก็ยังเข้ามาสั่งเครื่องดิ่มกันเรื่อยๆ จริงๆ เมนูอื่นก็น่าสนใจ แต่วันนี้ตั้งใจมากินกาแฟ โดยรวมผมชอบอยู่ อยากกลับไปซ้ำตัวอื่นๆ

ลายแทงร้านสาขา Shibuya

มารู้เอาทีหลังว่ามีสาขา Asakusa แล้วด้วย อุตส่าห์ถ่อไปตั้งไกล 555

จาก Fuglen พวกเราก็เดินไปอีกนิดหน่อยก็ถึง 5 แยก Shibuya แล้วครับ ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดเด่นของโตเกียวที่หลายๆ คนอยากแวะมาเยือน ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของผมที่มาตรงนี้ งวดก่อนคือมาทำงานแล้วได้โรงแรมตรงนั้นเลย มองแยกนี้ได้แทบทั้งวัน

ทริปนี้เราไม่ได้เข้า Starbucks เลยครับ 555

ความลำบากอย่างนึงที่เจอของทริปนี้คือ หาห้องน้ำยากไปหน่อย นอกจากตามห้างและสถานีรถไฟแล้ว ร้านกาแฟทั้ง Little Nap Coffee Stand และ Fuglen นั้นผมไม่เห็นห้องน้ำเลย มาถึง Shibuya เลยต้องแว้บเข้าห้างไปหาห้องน้ำเข้าก่อน

จากกลางแยก Shibuya ตรงนั้นมร้านกาแฟที่เคยลิสท์ไว้ราว 3 ร้าน ได้แก่

ABOUT LIFE ร้านเล็กไม่มีที่นั่ง ร้าน Specialty ร้านแรกที่เคยมาลอง

Chatei Hatou ร้านคาเฟ่เก๋สไตล์คลาสสิค มาสเตอร์ชงกาแฟดูมีอายุ

Streamer Coffee Company ร้านกาแฟที่ได้รางวัล Latte Art ระดับโลก

แต่วันนั้นเราเดินไปที่ Streamer Coffee Company กัน จำไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ก็ได้มาสัมผัสกับกาแฟลาเต้ที่มีลวดลายฟองนมที่สวยจริงๆ

เหมือนเปื้อนจริงๆ แหละ

ที่ผมสั่งมาเป็นกาแฟผสมชาเขียว อร่อย กินง่าย นมมันนุ่มๆ นวลๆ ดี เชื่อว่าร้านนี้น่าจะถูกใจคนที่ไม่นิยมกาแฟดำกัน ปกติเวลาหาลาเต้ในญี่ปุ่นกินเรามักจะเจอนมๆ ไม่ค่อยกาแฟเท่าไร แต่ร้านนี้ผสมผสานมาโอเคครับ กินแล้วได้กาแฟ นมกำลังดี อย่างเมนูที่ผมสั่งก็จะมีหอมชาเขียวกับขมของชาเขียวแทรกเล็กน้อย

แก้วของเพื่อนเป็นลาเต้เย็นมั้ง // เพื่อนถ่าย

ระหว่างนั่งซดกาแฟอยู่ เพื่อนก็ปลีกตัวไปตระเวณหาซื้อ Nintendo Switch ที่เป็นเป้าหมายส่วนนึงของทริปนี้ ผมก็นั่งจิบต่อไป คนไม่เยอะมากแล้วเวลานั้น ตอนนั้นคือราวๆ 4 โมงเย็นแล้ว

หลังจากที่ผมจัดการแก้วลาเต้เขียวของผมเสร็จก็เดินเล่นต่อแถวๆ Shibuya ภารกิจกาแฟวันนี้จบแล้ว ที่เหลือก็คือกลับที่พัก หาข้าวเย็นกินกัน เดินเล่นแถวนั้นพอใจแล้วผมก็นั่งรถไฟกลับไป Oshiage โดยจาก Shibuya นี่สามารถนั่งสาย Hanzomon ยิงยาวกลับไปได้เลย

เหลือเวลาอีกเยอะ ผมก็เลยลองออกทางออกอื่นเดินสำรวจรอบๆ Skytree

ทางออก B3 ของสถานี ตอนนั้นคนน้อยจนวังเวง
เริ่มมืดแล้ว
เข้าไปด้านในโซนห้าง อาหารเยอะ

นี่น่าจะเป็นวันแรกที่ได้มาสำรวจแถว Skytree ทั้งที่อยู่โคตรใกล้ที่พัก ทำให้รู้ว่าร้านค้า ร้านอาหารเยอะดี แล้วเปิดถึงดึกพอประมาณ เลยได้ข้อมูลไว้วันอื่นมาแวะเวียนอีกได้

พอเดินได้แป๊บนึงเลยเอะใจ เวลาเหลือ เพื่อนยังธุระไม่เสร็จ เลยแว้บไป Asakusa อีกรอบเพื่อถามเกี่ยวกับ Nikko Pass อีกทีดีกว่า ซึ่งก็ไปถึงแล้วเจอพนักงานแนะนำพอดี (แต่ไม่เจอพนักงานพูดไทยแฮะ บางรีวิวบอกว่ามี) เสร็จตรงนั้นเลยได้ข้อมูลเพื่อมาช่วยตัดสินใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตั้งใจมา Asakusa ตอนเช้าอยู่แล้ว ก็มาจัดการซื้อตั๋วรถไฟอะไรได้

จากนั้นก็ติดต่อกับเพื่อน ภารกิจซื้อของเสร็จแล้ว เลยนัดเจอที่ Skytree พร้อมหาของกินเลยละกัน เดินไปเดินมาสำรวจร้านแต่ก็ไม่รู้จะกินอะไร มาลงเอยกับ Tenya ข้าวหน้าเทมปุระสุดคลาสสิคแทน

แอบรู้สึกว่ากุ้งมันกรอบอร่อยสู้ร้านที่ Kawaguchiko ไม่ได้เลย 555

แต่ก็อร่อย อิ่ม แล้วก็กลับที่พักกัน วันรุ่งขึ้นยังตระเวณอยู่ในโตเกียว วันนี้เราเที่ยวปีกตะวันตกไปแล้ว พรุ่งนี้จะเขยิบมาตะวันออกแทน (หรือต้องบอกว่าตรงกลางดี)