รีวิวทริปโตเกียวต้นตุลาฯ 2018 EP 2: ขึ้นเครื่อง เข้าเมือง เช็คอิน แล้วออกไปดูดอกไม้ไฟท้ายฤดูกาล

วันแรกที่เริ่มออกเดินทางก็คือวันที่ 29 กันยายน โดยเที่ยวบินที่จะบินไปนั้นมีกำหนดบินราวๆ ตี 5 ผมกับเพื่อนก็เลยนัดว่าไปอาศัยอยู่คอนโดเพื่อนก่อนแล้วกัน เพราะอยู่ไม่ไกลมากจากสนามบินดอนเมือง ไปถึงก็คือช่วงดึกๆ แล้วจอง Grab เอาไว้ให้มารับช่วงตี 1 ปลายๆ ระหว่างนั้นก็มีงีบสั้นๆ ไปบ้าง

พอถึงเวลารถก็มารับใต้คอนโด ก็นั่งไปสนามบิน ถนนค่อนข้างโล่งเลยแหละเวลานั้น นั่งราวๆ 20 นาทีก็ถึงสนามบินแล้ว สายการบินที่ไปคือ AirAsia X พวกเราเช็คอินออนไลน์กันมาแล้วก็เลยสบายๆ เดินไปหย่อนกระเป๋าเช็คอินโหลดใต้เครื่องเสร็จก็มีเวลาอีกมาก เลยแอบเดินเล่นในสนามบินนิดหน่อย ก่อนเดินไปผ่านด่านตรวจคนออกเมือง

พอเข้ามาโซนด้านในแล้วก็แอบไม่มีอะไรทำ เพราะอีกเกือบ 2 ชั่วโมงถึงจะถึงเกตเปิดให้ขึ้นเครื่อง ก็เลยเดินสำรวจร้านอาหารในละแวกนั้น มีไม่กี่ร้านที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ที่จำได้ก็จะมี S&P แล้วก็ McDonald's ตอนแรกก็ดูๆ ว่าจะหาอะไรกินก่อนขึ้นเครื่องดี เพราะไม่ได้สั่งอาหารบนเครื่องเอาไว้ ฝั่ง S&P มีพวกอาหารกล่องขายอยู่ แต่แอบกลัวไม่รู้ว่ามันทำมาตั้งแต่กี่โมง เลยตัดสินใจกินของทำสดใหม่ของ McDonald's ดีกว่า

ราคาในสานามบินก็โหดอยู่ เซ็ตแมคฟิชเหมือนจะซัดไปเกือบ 300 บาท แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็ต้องกินให้อิ่มก่อนขึ้นเครื่อง

จากกล้องเพื่อน

หลังจากกินเสร็จก็ไปนั่งรอใกล้ๆ เกต แล้วก็สังเกตเจอว่ามี Starbucks ที่ปิดอยู่ แต่มีพนักงานมาจัดของอยู่ เลยไปถามว่าใกล้เปิดหรือยัง ถ้าจำไม่ผิดเค้าบอกว่าจะเปิดราว ตี 4 รึไงนี่แหละ ก็เลยไม่ได้อยู่รอ เพราะกว่าจะถึงตอนนั้นคงเตรียมขึ้นเครื่องแล้ว

พอได้ขึ้นเครื่องก็พบความสบายอย่างหนึ่งของที่นั่งคู่ท้ายเครื่อง เพราะที่เก็บกระเป๋าด้านบนไม่ต้องแชร์กัน 3 คนแบบที่ปกติ เลยใส่ของกันสบายและรวดเร็ว เก็บของเสร็จก็นั่ง หยิบของที่จำเป็น (มือถือ, หูฟัง, พาวเวอร์แบงค์) มารอไว้ เตรียมนอนตอนเครื่องออก

ช่วงอยู่บนเครื่องจำอะไรได้ไม่มากนัก แต่คุ้นๆ ว่าช่วงใกล้ๆ ญี่ปุ่นแล้วเหมือนจะมีการบินอ้อมๆ หน่อยนึงเพื่อเลี่ยงลมจากพายุใกล้ๆ นั้น (ช่วงที่ไปเป็นจังหวะที่ไต้หวันจ่ามี (Trami, ไต้ฝุ่นหมายเลข 24 ของญี่ปุ่น) กำลังเข้าแผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่น

พอจังหวะเครื่องบินใกล้ลงจอดก็เห็นว่าฝนตกอยู่ ไม่หนักมากแต่ค่อนข้างทั่ว บริเวณรอบสนามบินนาริตะล้วนแต่เปียกฝนไปหมด แต่เครื่องบินก็จอดได้ไม่มีปัญหาอะไร

กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองค่อนข้างง่าย ราบรื่นไม่ติดปัญหาอะไร หลังจากผ่าน ตม. มาพวกเราก็เดินไปบูธแลกตั๋ว Tokyo Metro Pass ที่ซื้อจาก Klook ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่ชั้น 2 เจ้าหน้าที่เค้าจะขอสแกน QR ที่เราได้จากการซื้อ แล้วก็ถามว่าจะเริ่มใช้วันไหน เพราะตั๋วบางชุดเค้ามีอายุ แบบหมดอายุถ้าไม่เปิดใช้ในวันที่นี้ๆ จะหมดอายุ ก็บอกเค้าไปแล้วเค้าจะได้หยิบช่วงให้ถูก ไม่แน่ใจว่าขอดูพาสปอร์ตด้วยมั้ย แต่เหมือนจะดู

เสร็จจากตรงนี้ ตอนแรกที่วางแผนคือถ้าหิวก็จะหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยเข้าเมือง แต่คุยกันแล้วต่างคนต่างไม่ได้หิวเท่าไรก็เลยเลือกเดินทางเข้าเมืองเลย

ปกติแล้วเวลาคนมาญี่ปุ่นลงเครื่องบินที่นาริตะอาจจะนิยมนั่ง Narita Express ไม่ก็ Skyliner เข้าเมืองกันเพราะมันเร็ว แต่ด้วยเหตุที่พวกผมจองที่พักใกล้กับสถานี Oshiage ก็เลยค้นพบว่ามันมีอีกทางเลือก นั่นก็คือ Keisei Sky Access (เหมือนตอนนี้จะชื่อ Access Express ไปแล้ว มันเหมือนกันครับเช็คมาละ) ที่หน้าตามันคือรถไฟ local ธรรมดาๆ นี่แหละ แต่ว่ามันรถที่จอดน้อยสถานี เน้นส่งคนจากสนามบินเข้าเมืองเป็นหลัก แถมยังมีทั้งเข้าไปที่ Keisei-Ueno ก็ได้ หรือจะวิ่งลงล่างยาวถึงสนามบินฮาเนดะเลยก็ยังได้

เส้นทางที่ลงไปสนามบินฮาเนดะนั้นมันจะแวะผ่านและจอดที่สถานี Oshiage ด้วยพอดี เลยสามารถนั่งไปลงได้ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 50 กว่านาทีเท่านั้น ด้วยราคาต่อเที่ยวเพียง 1,170 เยนเท่านั้น ใครที่มี SUICA, PASSMO อยู่แล้วก็เติมเงินแล้วแตะเข้าได้เลย

พอรถไฟมาถึง Oshiage ก็ลงจากรถ ลากกระเป๋าขึ้นบันไดเลื่อนไปหาทางออกที่ใกล้กับที่พักที่สุด ช่วงนั้นก็ 3 โมงเย็นได้แล้ว คนก็พลุกพล่านพอสมควรเพราะว่าเป็นวันเสาร์ เราก็ลากกระเป๋าออกนอกสถานีมาเจอพื้นเปียกๆ แฉะๆ ไม่ต่างกับโซนนอกเมือง ฝนยังมีปรอยๆ อยู่เรื่อยๆ ก็เดินตามแผนที่ที่โฮสท์ AirBnB ให้มาจนถึง ก็เลยเอาของเข้าที่พักเรียบร้อย ระหว่างนั้นก็สำรวจที่พักไปพร้อมๆ กับพักผ่อนหลังจากเดินทางมาหลายชั่วโมง

จนประมาณ 5 โมงเย็น ก็เตรียมตัวออกจากที่พักกัน เพราะวันนี้จะมีงานดอกไม้ไฟของเขตคิตะที่พวกเราบังเอิญฟลุคค้นข้อมูลมาเจอและวางแผนจะไปดูกัน โดยปกติแล้วงานดอกไม้ไฟมักจะจัดกันในช่วงฤดูร้อน งานที่จะไปนี้เป็นงานที่เรียกว่าส่งท้ายฤดูร้อนเตรียมรับฤดูใบไม้ร่วงก็ว่าได้ เพราะเป็นงานสุดท้ายของปีในโซนโตเกียวนี้แล้ว

จำไม่ได้เหมือนกันว่าช่วงเดินทางออกไปนี่แวะหาอะไรรองท้องไปบ้างรึเปล่า ฮ่าๆ

และแล้วพวกเราก็มาถึงสถานี Akabane ถ้าใครนึกไม่ออกว่ามันเป็นโซนไหน ก็ให้อิงจากอิเคะบุคุโระแล้วมองขึ้นเหนือไปจนเจอแม่น้ำอาราคาวะ คือละแวกนั้นแหละครับ จากสถานีพวกเราต้องเดินไปอีกเกือบๆ 2 กิโลฯ ตอนแรกก็ไม่ชัวร์ว่าเดินทางไหน แต่พอเห็นฝูงชนละแวกนั้นก็ทำให้รู้ว่าเค้ามาเพื่อดูดอกไม้ไฟกันทั้งนั้นเลย แต่มาพร้อมกับร่มและเสื้อกันฝนพร้อม

พอเดินไปใกล้บริเวณงาน ก็จะมีทีมผู้จัดงานมาคอยโบกชี้ทางให้ พร้อมกับประกาศเตือนให้ระวังพื้นลื่นดินลื่นในละแวกนั้น สถานที่ที่เรามานั่งดูคือริวแม่น้ำอาราคาวะ เป็นแนวเนินดินริมแม่น้ำที่ใครมาก่อนก็จับจองเลือกนั่งกันได้เลย วันนี้แอบลำบากหน่อยเพราะพื้นเปียกไปหมด พวกเราที่เอาเสื้อกันฝนมา ก็เลยจับเอาเสื้อกันฝนมารองนั่งแล้วเอาเสื้อฮู้ดกันฝนแทนไปเลย

บริเวณริมแม่น้ำมีร้านอาหารมาเปิดขายเล็กน้อย ไม่เยอะแต่ก็ไม่น้อย น่าจะเกือบๆ สิบร้าน เป็นอาหารมาตรฐานที่นึกได้เหมือนที่เราเคยเห็นในการ์ตูน ทาโกะยากิ ยากิโซบะ เทือกนั้น แต่ไม่ได้แวะไปซื้อกิน เพราะคนเยอะ ฮ่าๆ

นั่งอยู่พักใหญ่ก็มีประกาศว่างานกำลังจะเริ่ม เอาจริงๆ ก่อนงานเริ่มวิวก็ไม่ธรรมดาเลย เพราะมองจากฝั่งเราไปสะพานรถข้ามแม่น้ำ ที่รถวิ่งไปมา ตลอดจนไปอีกฝั่งที่มีตึกพอประมาณเปิดไฟอยู่ เป็นวิวกลางคืนที่ไม่เลวเลยทีเดียว แป๊บๆ หลังจากนั้นดอกไม้ไฟก็จุดขึ้นมา

งานแสดงนั้นจับใจความได้เล็กน้อยว่าเป็นโชว์หลัก แล้วก็โชว์ที่ผู้ทำดอกไม้ไฟเตรียมาโชว์ เหมือนเอามาอวดกันยังไงยังงั้น ไอ้เราที่อยู่ไทยก็น้อยครั้งจะเห็นพลุ มาดูดอกไม้ไฟที่นี่ก็แปลกตาไปเลย แถวยาว ยาวมาก พี่แกจัดยิงดอกไม้ไฟกันรัวๆ ร่วมชั่วโมง แรกๆ ก็ว้าวทุกดอก หลังๆ จะเฉยกับอันที่ธรรมดาๆ ละ จะไปอลังการอันที่ยิ่งมาเป็นชุด สีสันหลากหลายมากกว่า

พวกเราตัดสินใจว่าพอละ กลับดีกว่า คือมันยังมียิงอยู่ ไม่จบ แต่ก็คิดว่าพอใจละ มาคุ้มงานแล้ว ก็เลยเดินออกมา ระหว่างนั้นก็มีคนเดินกลับแล้วเหมือนกัน แม้จะไม่เยอะเท่าตอนเดินมาก็เถอะ ก็เลยเดินๆ ตามๆ เค้าไป บวกกับดูแผนที่เทียบไปด้วย ไปๆ มาๆ กลายเป็นเดินกลับแค่ 1.5 กิโลฯ น้อยกว่าตอนมาอีก ฮา

มาแค่วันแรกก็เดินเยอะแล้ว ต่อไปก็คือหาอาหารกินก่อนกลับที่พัก แล้วพวกเราก็เดินทางไป Ueno กันตามแผน เพื่อไปกินเนื้อทอดเจ้าดังอย่าง Gyukatsu Motomura ที่สืบเจอมาว่ามีสาขาตรง Ueno ด้วยก็เลยเข้าล็อกใกล้พี่พักพอดี

ภาพนี้ของเพื่อน

ผมเองเคยกินมาแล้วครั้งนึงประทับใจ ส่วนเพื่อนยังไม่เคย มาโดนครั้งนี้ก็ประทับใจตามไป พิมพ์ๆ อยู่ยังอยากไปอีกเลยเนี่ย คิดถึงแล้วอยากกินชะมัด

หลังจากกินเสร็จก็เดินทางกลับที่พัก พวกเราแวะซูเปอร์ที่อยู่ตรงข้ามที่พักหิ้วน้ำดื่มขึ้นไปหน่อย เพราะคุยกันแล้วว่ากินน้ำขวดละกัน ไม่ชอบกลิ่นน้ำประปา แล้วก้มีสเบียงนิดๆ หน่อยๆ ติดห้องไว้

ใกล้ๆ ที่พักมีร้านอาหารไทย

หลังจากนั้นก็ดูข่าวทีวี เพราะต้องติดตามัพเดตไต้ฝุ่นที่กำลังจะพาดมาทางโซนโตเกียวในไม่กี่วัน ถามว่าฟังข่าวรู้เรื่องมั้ย ก็ไม่ค่อย แต่ก็อาศัยดูภาพประกอบก็ช่วยได้เยอะ

และนั่นก็คือจบทริปวันแรกครับ