Sora Yori mo Tooi Basho - อนิเมเสริมพลังบวก feel good ที่ควรค่าแก่การดู

ตามปฏิทินของรอบอนิเม ช่วงนี้ก็ใกล้จะจบช่วงฤดูหนาวแล้ว และอนิเมประจำฤดูก็กำลังจะจบไล่ๆ กันมาในอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์ข้างหน้า และเตรียมที่จะเข้าฤดูใบไม้ผลิ ฤดูแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ของฝั่งญี่ปุ่น ผมได้ตามอนิเมของฤดูหนาวมาแล้วพบว่า Sora Yori mo Tooi Basho นั้นเป็นอนิเมที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับการเข้าสู่ปี 2018

เนื้อเรื่องย่อของ Sora Yori mo Tooi Basho (ชื่อย่อ Yorimoi, ชื่ออังกฤษ A Place further than the Universe) กล่าวถึงตัวละครเอก Tamaki Mari สาวมัธยมปลายธรรมดา ไม่มีอะไรเด่น วันๆ ใช้ชีวิตนักเรียนไปเรื่อยแบบปกติ กำลังจัดห้องตัวเองแล้วพบไดอารี่ที่เขียนไว้เมื่อก่อนขึ้น ม. ปลายถึงสิ่งที่อยากทำ หนึ่งในนั้นก็คือการใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่ และก็ได้มาพานพบกับ Kobuchizawa Shirase นักเรียนสาวรุ่นเดียวกันที่วางแผนจะไปร่วมกับทีมสำรวจขั้วโลกใต้ ด้วยสาเหตุที่ว่าแม่ของตัวเองหายสาบสูญไปจากการไปสำรวจคราวก่อน เนื้อเรื่องเลยเป็นการเดินทางของเด็ก ม. ปลายที่ร่วมกับทีมนักสำรวจไปยังดินแดนที่ใครๆ ก็ว่าเป็นไปแทบไม่ได้ที่จะไป

สำหรับส่วนของเรื่องย่อ บอกไว้แค่นี้ก็คงพอแล้ว เกินกว่านี้เกรงว่าจะสปอยล์จนหมดสนุก ทีนี้มาพูดถึงสาเหตุที่ว่าทำไมผมถึงมองว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งในอนิเมประจำฤดูหนาวที่ยอดเยี่ยม

Script & Screenplay

บทและจังหวะจะโคนของเนื้อเรื่องออกแบบมาได้ดี บทนั้นอาจจะไม่ตระการตา สุดยอดแห่งวรรณกรรมอะไร แต่มันมีการผสมสานของอารมณ์ได้ค่อนข้างกลมกล่อม เราจะเห็นทั้งบทสนุกสนานในหลายๆ ส่วนของเรื่อง มุกตลกที่ออกแบบจังหวะการยิงและตบได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ ไปพร้อมๆ กับอีกมุมที่บททำให้คนดูมีความรู้สึกร่วมกับอารมณ์ของตัวละครต่างๆ มีดราม่า มีความเศร้า ไม่ได้มีเพียงอารมณ์ด้านเดียวตลอดเรื่องแต่สามารถทำออกมาให้มันมีพลิกไปพลิกมาได้เรื่อยๆ สมเหตุสมผล แต่ที่สำคัญคือ มันช่างเหมาะกับธีมที่มีความเป็นวัยรุ่นเป็นส่วนประกอบจริงๆ


อีกส่วนก็คือรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องที่มีการค้นคว้ามาค่อนข้างจริงจัง ทั้งในเรื่องการใช้ชีวิตของนักสำรวจในดินแดนน้ำแข็งกว่าขั้วโลกใต้ การเตรียมความพร้อม อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ รวมถึงการเดินทางไปยังขั้วโลกใต้ที่ต้องอาศัยเรือขนาดใหญ่แล่นจากออสเตรเลียไป

ทิศทางในการเข้าไปยังพื้นที่ของขั้วโลกใต้ที่แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ๆ นานาชาติเข้ามาสำรวจได้ค่อนข้างอิสระ แต่ญี่ปุ่นเคยได้รับบทลงโทษจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะโดนบังคับตำแหน่งในการเข้าไปด้วย อะไรประมาณนี้ ถือว่าเป็นรายละเอียดที่เห็นถึงความตั้งใจของทีมเขียนบทมากๆ

จุดน่าสังเกตหนึ่งของเรื่องนี้คือ การสร้างเนื้อเรื่องในแต่ละตอนนั้นมักจะสามารถแก้ไขหรือจบปัญหาได้ในตอนเดียว ในแง่มุมหนึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี ที่ทำให้เนื้อเรื่องไม่ยืดเยื้อ และยังคงสนุกได้ ไม่ทำให้คนดูเก็บไปคิด พอดูจบตอนก็มักจะเป็นลักษณะจบได้ดีและสวยงาม ซึ่งทำให้คนดู feel good มาก แต่อีกแง่มุมหนึ่งก้จะรู้สึกว่าบางประเด็นอาจจะสามารถยืดได้อีกหน่อยเพื่อเน้นให้เนื้อเรื่องส่วนนั้นมีน้ำหนัก มีความเด่นเพิ่มขึ้นได้ แต่แม้จะไม่เป็นเช่นนั้นบทที่เป็นอยู่ก็ทำมาได้ดีแล้ว เพราะมันสนุก มันถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ ออกมาได้และคนดูก็รู้สึกดีไปด้วย

Characters

ตัวละครเป็นอีกจุดเด่นมากของเรื่องนี้ โดยตัวละครหลักของเรื่องนี้มีด้วยกัน 4 คนคือ

  • Tamaki Mari พากย์โดย Minase Inori บุคลิกจะค่อนข้างสนุกสนาน แต่ค่อนข้างจะไม่กล้าทำอะไรเอง
  • Kobuchizawa Shirase พากย์โดย Hanazawa Kana สาวบุคลิกคูล แต่สติหลุดเป็นบางครั้ง เพื่อนไม่ยุ่ง มุ่งแต่จะไปขั้วโลกใต้
  • Miyake Hinata พากย์โดย Iguchi Yuka สาวไฮเปอร์สนุกสนาน เลิกเรียน ม. ปลายแต่ไปสอบเทียบจบแล้ว ทำงานเก็บตังเตรียมเรียนต่อมหาลัย
  • Shiraishi Yuzuki พากย์โดย Hayami Saori เด็กกว่าคนอื่นเล็กน้อย เป็นดาราวัยรุ่นที่งานเยอะจนไม่ค่อยได้ไปโรงเรียน ค่อนข้างเรียบร้อยดูใสๆ

เอาแค่นักพากย์ก่อน ถ้าใครรู้จักนักพากย์ก็จะพบว่า นี่มันรวมเทพไว้ชัดๆ ถือว่าทีมงานที่ทำอนิเมเรื่องนี้น่าจะคัดกรองมาเป็นอย่างดีเพื่อความมั่นใจว่าจะสามารถ "แสดง" เป็นตัวละครแต่ละตัวในเรื่องได้อย่างดีที่สุด ซึ่งก็ถูกต้อง เพราะแต่บทสนทนาและกิจกรรมต่างๆ ของตัวละครใน Yorimoi นั้นทำมาได้มีชีวิตชีวามาก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ปัญหาต่างๆ ทั้งเพิ่งเกิดหรือเป็นปูมหลังของแต่ละคนมาก่อนก็ทำออกมาได้ดี และเราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครในการอยู่ร่วมกันได้ค่อนข้างชัดเจน มีการเก็บรายละเอียดพฤติกรรมที่คนอื่นๆ รู้แต่ตัวเองไม่รู้ มุกที่ล้อถึงบุคลิกของแต่ละคน มันแสดงถึงความสมจริงที่เราพบในชีวิตปกติของเรา

นอกจากตัวละครหลักแล้ว เรื่องนี้ยังให้ความสำคัญกับตัวละครรองไม่แพ้กันเลย เพราะทีมนักสำรวจเองก็มีเบื้องหลังเช่นกัน มีปม มีบุคลิกและนิสัยที่หยิบยกมาสร้างรสชาติกับเรื่องได้เพิ่มขึ้น หนึ่งในสิ่งที่เรื่องนี้ปูมาตั้งแต่ต้นจนถึงช่วงหลังคือประเด็นของความรู้สึกในการทำบางสิ่งสำเร็จ แน่นอนว่าการเดินทางไปยังขั้วโลกใต้นั้นลำบากและยาวนาน แต่การที่ไปถึงใต้นั้นก็ถือเป็นความสำเร็จใหญ่มาก และคนดูจะได้รับความรู้สึกนั้นไปพร้อมๆ กับตัวละครในเรื่องทุกๆ คน

Animation

งานภาพและอนิเมชันการเคลื่อนไหว โดยรวมแล้วถือว่าทำมาได้ดี แต่ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ คุณภาพของงานทำได้คงเส้นคงวา ไม่ดรอป ไม่เผา งานต้นเรื่องดียังไง ก็ยังคงดีอยู่ยังงั้น แต่ก็มีบางตอน บางฉากที่สร้างความโดดเด่นคือมาได้จนทำให้คนดูจดจำ ไม่ว่าจะเป็นท้ายตอน 2 ที่ทำการเคลื่อนไหวของตัวละครและฉากออกมาได้ดี และช่วงตอนหลังๆ ที่ทำภาพของขั้วโลกใต้ออกมาได้สวยจนติดตา

Music

เพลงในเรื่องนี้มีค่อนข้างเยอะที่เดียว แต่ผมกลับมองว่าเพลงประกอบเบื้องหลัง OST กลับไม่โดดเด่นนัก แต่ความโดดเด่นไปตกที่เพลงมีเนื้อร้อง เพราะจะถูกใส่มาในจังหวะไคลแมกซ์ของแต่ละตอนค่อนข้างบ่อย และจังหวะของเพลงมันก็ดันเข้ากันมากซะด้วย บิวด์อารมณ์ได้ดีทีเดียว

นักร้องที่มาร้องให้กับ Yorimoi นั้นมี 2 ทีมคือเพลงเปิดและเพลงประกอบในเรื่อง จะร้องโดยนักร้องหน้าใหม่ในวงการอนิเม เข้าใจว่ามาเดบิวท์กับเรื่องนี้เรื่องแรกเลย ชื่อว่า saya จัดไปคร่าวๆ ที่นับได้น่าจะไม่ต่ำกว่า 4 เพลงแล้ว (OP, Insert song อีก 3) และอีกกลุ่มคือนักพากย์ 4 ตัวละครหลักที่ร้องเพลง ED และเพลงประกอบอีกตอนนึง ซึ่งเนื้อหาของเพลงนั้นแต่งมาเข้ากับธีมเรื่องมาก ฟังแบบแปลงูๆ ปลาๆ ได้ก็ทำให้รู้สึกอินได้แล้ว

Final Episode

ขึ้น heading ไว้ไม่ได้จะสปอยล์ แต่จะบอกว่าอาทิตย์หน้าจะเป็นตอนสุดท้ายของเรื่องนี้แล้วคือตอนที่ 13 ซึ่งน่าสนใจมากว่าจะออกแบบฉากจบไว้เช่นไร เพราะดูมาทั้งเรื่องก็เดายาก ในตอน 12 ที่ผ่านมานั้นทำผลงานไว้ดีมาก เป็นดราม่าที่สวยงาม จนทำให้คาดหวังกับตอนสุดท้ายมากๆ คาดว่าจะสามารถทำให้คนดูตราตรึงจดจำอนิเมเรื่องนี้ได้ ไว้มารอดูกับอังคารนี้

Round-up

Sora Yori mo Tooi Basho เป็นผลงานอนิเมชันกำกับโดน Ishizuka Atsuko ที่เคยมีผลงานโดดเด่นมาจาก No Game No Life ทั้งภาคทีวีและหนังโรง ใครที่ดู Yorimoi มาจะได้กลิ่นอายการลำดับภาพและจังหวะการตบมุกคล้ายๆ กับ NGNL เลยแหละ สิ่งที่จะพูดถึงผู้กำกับคนนี้ก็คือ เป็นคนที่ทำผลงานออกมาได้ถูกใจทุกเรื่องเลย จนแอบคาดหวังที่จะเห็นผลงานใหม่ๆ ในเร็วๆ นี้หลังกจา Yorimoi จบไป

ถ้าจะให้นิยามหรืออกแบบคำเชิญชวนให้คนรู้จักหรือมาดู Sora Yori mo Toois Basho ล่ะก็ ผมคงบอกว่าเป็นอนิเมที่ให้ความรู้สึกดีๆ กับคนดู ดราม่าในเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม มันนำเสนอว่าปัญหาต่างๆ นั้นสามารถผ่านไปได้ อย่าไปจมปลักกับปัญหา และการนำเสนอ sense of accomplishment หรือความรู้สึกในการทำบางสิ่งบางอย่างสำเร็ว มันทำให้คนดูมีพลัง ซึ่งผมมองว่าอนิเมเรื่องนี้สามารถถ่ายทอดพลังบวกให้กับคนดูได้เป็นอย่างดี คนทั่วๆ ไปที่หาอนิเมดูก็จัดว่าเป็นอนิเมที่ดีควรค่าแก่การดู และความรู้สึกดีๆ จากการดูก็น่าจะเหมาะกับคนที่กำลังอึดอัดกับปัญหาต่างๆ หรือกำลังเครียดด้วย

ด้วยเหตุผลทั้งหลายนี้ผมถึงจัดให้มันเป็นอนิยอดเยี่ยม ที่มาในจังหวะเริ่มปีใหม่ (เริ่มฉายตอนมกรา) พร้อมให้คนดูจบเกิดแรงบันดาลใจ เกิดพลัง พร้อมที่จะเผชิญกับการเริ่มต้นครั้งใหม่ในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึงนี้

ผมว่าเรื่องนี้ติดโผ Anime of The Year และน่าจะจัดขึ้นหิ้งได้ :)