Life in Brisbane Day 1: บินมาลง เข้าที่พัก และเดินชมเมือง

เรื่องของเรื่องเริ่มจากที่บริษัทแข่งขันโครงการ Hot DesQ ของรัฐ Queensland ที่ประเทศออสเตรเลียแล้วได้รับคัดเลือกให้ 'Relocate' มาทำงานในเมือง Brisbane เป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งจริงๆ แล้วเค้าให้โควต้าทั้งหมด 4 คน แต่ก็ปรับเปลี่ยนนิดหน่อยในบริษัทให้สามารถมามากกว่า 4 คนแต่เป็นช่วงเวลาที่พำนักนั้นน้อยลดหลั่นกันไป แล้วตัวผมเองได้มาอยู่เป็นเวลา 3 อาทิตย์ และเป็นชุดแรกที่เดินทางมา

เริ่มเดินทางจากสุวรรณภูมิเที่ยวบิน TG 473 เริ่มเทคออฟราวเที่ยงคืนกว่าๆ แล้วก็บินยาว 8 ชั่วโมงกว่าเพื่อมาลงที่ Brisbane (ต่อไปจะเขียนทับศัพท์ภาษาไทย) ซึ่งระหว่างบนเครื่องก็หลับๆ ตื่นๆ รวมแล้วน่าจะได้นอนไม่ถึง 3 ชั่วโมงดี พอเครื่องแลนด์ลงที่บริสเบนแล้วก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ก็ไม่โดนสุ่มตรวจสิ่งของอะไร ถือว่ากระบวนการไม่ช้านักแล้วก็ออกมาได้ช่วงเที่ยงกว่าๆ จึงหา Uber นั่งเข้าเมืองไปยังที่พัก

แต่ละคนมึนๆ เพราะนอนไม่ค่อยพอ แต่เพื่อป้องกันเจ็ตแล็ค ก็ต้องตื่นต่อให้ได้เพื่อที่จะไปนอนเอาเวลาปกติของเวลาท้องถิ่น

หลังจากจัดแจงวางของสำรวจที่พักเสร็จก็หาข้อมูลบริเวณใกล้เคียงเพิ่มก่อนจะเดินออกไปสำรวจเมืองและมุ่งหน้าไป South Bank สระว่ายน้ำริมแม่น้ำที่ขึ้นชื่อของบริสเบน

เส้นทางที่เดินก็คือเดินจากที่พักผ่านเข้าตัวเมือง ระหว่างทางก็พบว่าร้านค้าส่วนใหญ่ปิดหมดเลย น่าจะเพราะว่าเป็นวันอาทิตย์ ดูแล้วที่นี่เค้าเป็นวันหยุดก็จะหยุดกันจริงๆ

หิวๆ เลยเดินเข้าไปที่เซเว่น ได้ของกินติดมือออกมาคนละนิดหน่อย แล้วก็พบว่ารสชาติเทียบราคามันงั้นๆ มากเลย ของผมเองได้กาแฟ Cold Brew Latte ที่เพิ่มน้ำตาลมาพอประมาณในราคา $3 AUD กินแล้วเหมือนนมช็อคโกแลตแล้วปิดด้วยรสขมกาแฟ

เดินต่อไปอีกพักหนึ่งก็เจอ Queens Plaza ถึงเจอว่าร้านอาหารเพียบเลย ตั้งแต่ Starbucks ไปยัน Mos Burger, McDonald และร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้ตัดสินใจเข้าไปหาอะไรกิน แม้ตอนนั้นจะราวบ่ายสามแล้วก็ตาม

จากนั้นข้ามสะพาน Victoria Bridge ไปเจอกับป้าย(?) ชื่อเมืองบริสเบนที่เป็นสัญลักษณ์หนึ่งมีคนมารุมล้อมถ่ายรูปกันเต็มไปหมด (ภาพพาดหัวนั่นเอง) ใกล้ๆ กันก็จะมี Wheel of Brisbane ที่เป็นชิงช้าสวรรค์ชมวิวเมือง แล้วจึงเดินทางซุ้มดอกไม้ (เข้าใจว่าเหมือนเฟื่องฟ้าบ้านเรา) ไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับ South Bank

บริเวณ South Bank นั้นคนแน่นมาก มีทั้งคนเล่นน้ำ นอนตากแดดบนทรายและเนินหญ้าข้างๆ ร้านอาหารและเสื้อผ้าแฟชันก็เต็มไปหมด เข้าใจว่าน่าจะเป็นคนท้องถิ่นซะมาก ดูเป็นบริเวณพักผ่อนหย่อนใจชั้นดีของคนที่นี่

ชมรอบๆ ไปพักนึงก็เดินทางต่อเพราะจะไปสำรวจบ้านหลักที่จะเช่ารายเดือนเพื่ออยู่กันยาวๆ ที่นี่ เลยลัดเลาะตามริมแม่น้ำไปแล้วตัดขึ้นเนิน จุดแปลกของบริเวณนี้คือส่วนทางเดินริมแม่น้ำจะมี 2 ระดับคือระดับล่าง และระดับบนที่สูงไปเลยเพราะเป็นเหมือนหน้าผา

ก้าวขึ้นเนินยาวๆ มาพักนึงก็พบกับที่พักที่ตามหา เป็นอพาร์ทเมนต์หลายยูนิตที่เรียกว่าเป็น River view ได้เลย (ถ้าอยู่ชั้นบน) เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำห่างแค่ถนนขั้นกลาง

บริเวณริมน้ำที่ขึ้นมาบนเนินนี้จะมีเตาบาร์บีคิวตั้งอยู่เป็นระยะ น่าจะไม่ถึง 20 เมตรก็เจอเตานึง เตาทำงานด้วยระบบแก๊ส ใครอยากใช้ก็เอาอาหารมาเปิดเตาใช้แล้วปรุงกินกันได้เลย เป็นวัฒนธรรมที่แปลกดีของทางออสเตรเลียเค้า

มองไปทางผาก็จะพบว่ามีอีกความแปลก เพราะจะมีแท่งเสาปูนอยู่เป็นระยะ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่งเห็นคนคล้องสายสำหรับปีนเขาไว้ ถึงรู้ว่าคนแถวนี้เข้ามาปีนผากันยังงี้เลย และไม่ใช่คนสองคน แต่เจอรวมกันน่าจะเกือบสิบ

พระอาทิตย์กำลังเริ่มตกดิน ระหว่างนั้นก็มาเจอบาร์ริมผาบรรยากาศอย่างดี มีทั้งอาหาร กาแฟ และเบียร์ เลยตัดสินใจนั่งกินเบียร์ชมวิวสักพักใหญ่ (ทั้งๆ ที่ทุกคนท้องว่าง)

กินกันเสร็จพระอาทิตย์ก็ลับฟ้าไปแล้ว แสงยังเหลืออยู่บ้าง แต่อากาศเย็นลงชัดเจน ก็เดินกันต่อไปอีกหน่อยจนเจอท่าเรือสำหรับข้ามฝั่งกลับ โดยอาศัยเรือ City Hopper ที่เป็นเหมือนโป๊ะเรือข้ามฟากแบบแถวเจ้าพระยา แต่เรือดีกว่าเยอะ ระบบการจอดล้ำกว่า ไม่ต้องอาศัยกันชนยางล้อรถ และเคลื่อนที่ก็เร็วกว่าด้วย เลยนั่งข้ามฝั่งกลับมาฝั่งที่พัก

ลงเรือแล้วก็เดินต่อจนเจอใกล้ๆ ย่าน Queens Plaza แต่ไม่ได้ผ่านเข้าไปอีกรอบ ริมน้ำจะมองเห็น Story Bridge เปิดไฟสวยงามอยู่ ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เข้าไปทางในเมืองมากขึ้น แล้วไปลงเอยกิน Domino พิซซ่าแถวนั้น

ร้าน Domino ดูเหมือนเป็นร้านบ้านๆ ละแวกนี่ โต๊ะที่นั่งไม่ได้เก็บกวาดสะอาดนัก แต่ก็พอโอเค สั่งพิซซ่ามากิน 2 ถาดสำหรับ 3 คน เป็นหน้าแฮมชีส กับหน้า Fire Breather ที่โฆษณาว่าใช้พริก Jalapeño พอกินจริงๆ ส้มตำไทยยังเผ็ดกว่าเลย แต่ก็จัดว่าถึงรสถึงเครื่องเทศดี ตัดเลี่ยนกับแฮมชีสโอเคอยู่

กินเสร็จก็ปาไปเกือบจะทุ่มครึ่งแล้ว เดินแวะเซเว่นกันนิดหน่อยก่อนจะกลับไปที่พัก แล้วแวะซุปเปอร์ข้างล่างที่พักแวะหาอาหารสำหรับมื้อเช้า บวกกับหาน้ำเปล่าเพื่อจะเอาขวดมาใช้ด้วย เจอโปรโมชันน้ำเปล่า 2 ขวด $2.99 AUD ซื้อเสร็จถึงรู้ว่าที่นี่เค้าไม่มี 1 cent จ่ายไป $5 AUD เลยได้กลับมา $2 AUD

จากนั้นขึ้นที่พักมาก็นั่งกันสักพักแล้วพบว่าฤทธิ์ของ Domino มันรุนแรงมาก อาจจะบวกกับเบียร์ด้วย ทำเอาสลบกันทุกคน รู้ตัวทีจาก 2 ทุ่มกว่าวาร์ปมา 4 ทุ่มกว่า ระหว่างนั้นสมองปลอดโปร่งขึ้นเลยรีบไปอาบน้ำเตรียมตัวนอน

แล้วก็มาถึงจุดที่นั่งเขียนบล็อกนี้ เสร็จก่อนเที่ยงคืนเวลาบริสเบนพอดี พรุ่งนี้ต้องตื่นราว 8 โมง