2022 Year in Review: Adapt
ปีนี้เป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตค่อนข้างเยอะทั้งปัจจัยภายในของตัวเอง และปัจจัยภายนอกจากสภาพแวดล้อม คำที่เลือกมาเปรียบเทียบสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยเป็นคำว่า “Adapt” คือการปรับตัว แต่ไม่ได้มีแค่ความหมายในการปรับตัวเอง แต่ยังทำตัวเป็น “Adaptor” คอยเชื่อม คอยประสาน ให้กับคนอื่นๆ ด้วยตามความสามารถที่มี เลยคิดว่าคำนี้น่าจะเป็นคำที่เหมาะที่สุดในช่วง 365 วันที่ผ่านมานี้
ในปีนี้โลกเริ่มชินกับโควิดและปรับการใช้ชีวิตพยายามกลับมาเป็นแบบเดิม เปิดเมืองเปิดประเทศกันแล้ว การออกจากบ้านกลับมาเป็นเรื่องปกติ ความเปลี่ยนแปลงนี้ ผนวกกับความอัดอั้นของคน ทำให้การเตร็ดเตร่กลับมาเป็นความสุขของหลายคน รวมถึงผมด้วย ปีนี้เลยไปตระเวนหลากหลายที่มาก ทั้งไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือการไป Cafe Hopping และเปิดแมปร้านอาหารใหม่ๆ ไปกินแล้วก็มาขายมาป้ายยามิตรสหายกันเอง รวมแล้วน่าจะเดินทางเยอะกว่าหลายปีก่อนหน้ารวมกันด้วยซ้ำไป และนี่ก็เริ่มกลายเป็นกิจกรรมประจำวันหยุดไปแล้ว จากเดิมที่สุดสัปดาห์จะแพลนออกจากบ้านแค่เสาร์ แล้วอาทิตย์พักอยู่บ้าน กลายเป็นมีหลายสัปดาห์ที่ออกจากบ้านทั้งสองวันเยอะขึ้น
สิ่งที่ตามมาคือได้ถ่ายรูปเยอะขึ้น หลายคนน่าจะรู้แล้วว่าชอบ snap ภาพไปเรื่อยมาแต่ไหนแต่ไร แต่ปีนี้ได้ถ่ายรูปแบบจริงจังขึ้นมาก ส่วนนึงเพราะชินกับมือถือมากขึ้น และติดลมจากการเล่นแคมเปญบน Instagram ที่เคยได้รับการติดต่อจาก IG SonyXperia ขอภาพไปโปรโมทรอบนึง แม้แคมเปญจะจบไปแล้ว แต่กลายเป็นติดใจถ่ายเพิ่มขึ้นๆ และค้นพบมุมมองภาพใหม่ๆ แม้จะอยู่กับสถานที่ไม่กี่ที่ก็ตาม แค่การเดินทางจากบ้านไปทำงาน ยังได้ภาพที่มุมแปลกไปได้เรื่อยๆ จนแปลกใจเองว่าไม่เคยสังเกตได้ยังไง รวมถึงมีหลายคนชมภาพถ่าย รู้สึกขอบคุณมากๆ สำหรับคำชม และคิดว่าอยากจะพัฒนางานอดิเรกนี้ไปเรื่อยๆ ล่าสุดก็ลองหาขาตั้งกล้องมาถ่ายดาวบ้างแล้ว และตอนนี้ก็แอบเล็งกล้องโปรแล้วเหมือนกัน
ในเรื่องของการงาน ก็เป็นสภาพที่เปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะต้นปีที่ออฟฟิศมีพนักงานราว 20 คน แต่กำลังจะจบปีด้วยพนักงาน 40 กว่าคน เรียกว่าโตขึ้นมา 2 เท่า คนที่ได้ทำความรู้จักกันใหม่ในปีนี้มีร่วม 20 กว่าคน เลยเป็นเหตุให้มีการปรับตัวเองในการมีปฏิสัมพันธ์คนให้มากกว่าแต่ก่อน เพราะทุกๆ คนที่อยู่ในบริษัทเดียวกันตอนนี้ ไม่ช้าก็เร็วก็มีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน การทำความรู้จัก สังเกต ทั้งเชิงข้อมูล ทักษะ สไตล์ พฤติกรรมย่อมมีประโยชน์ในอนาคตแน่นอน ทำให้ปีนี้กลายเป็นปีที่รู้สึกว่าผลักดันตัวเองให้คุยกับคนเยอะขึ้นกว่าก่อนมาก คิดว่าต่างจากเดิมมากจนหลายคนยังแปลกใจว่าไปโดนอะไรมา
ไอเดียเบื้องหลังการปรับตัวนี้จริงๆ แล้วก็ง่ายมาก คืออยากเข้าไปเข้าใจคนอื่นๆ นอกจากทำความรู้จักแล้วก็พยายามสร้าง vibe ที่เป็นมิตร ให้คนอื่นเข้าหาได้ง่าย เป็นส่วนผสมของความตั้งใจส่วนตัว และความคิดว่าเราที่อยู่กับที่นี่มานาน เข้าใจบริษัทประมาณนึงก็อยากช่วยดูแลคนใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้าให้เค้ามีความสุขกับการทำงานที่นี่ พยายามทำตัวเป็น Adaptor ให้คนใหม่เข้ากับการทำงานได้ พยายามเชื่อมปัญหาของแต่ละคนไปสู่คำตอบหรือผู้ที่จะช่วยเหลือได้ เอาจริงๆ ก็ตั้งคำถามเหมือนกันว่าเข้าไปดูเยอะเกินไปมั้ย เค้าจะรำคาญมั้ยเหมือนกันนะ เลยคิดว่าต้องพยายามบาลานซ์ประมาณนึง
ต่อจากเรื่องภาพรวมออฟฟิศ เนื้องานที่ได้จับปีนี้ก็มีความเปลี่ยนแปลงเยอะ มีทั้ง product ที่เข็นออกมาเพื่อแข่งขันแล้วได้รางวัลที่ 1 กลับมาฝากออฟฟิศ การพัฒนา product ที่คิดว่าได้ผลงานที่คุณภาพสูง แต่หาจุดทำให้กลายเป็น business solution ไม่ได้จนต้องพับเก็บไปก่อนชั่วคราว หรือแม้กระทั่งงานลูกค้าที่ทิศทางสับสนตั้งแต่เริ่มยันจะจบแล้วก็ยังตะกุกตะกักเพราะฝั่งลูกค้าเอง เป็นปีที่ครึ่งปีแรกงานแน่นจนไม่มีเวลา แต่พอครึ่งปีหลังกลับกลายเป็นงานไม่เยอะ แต่ทิศทางสับสนจน multi task หลายงานไม่ได้ จมอยู่กับงานเดียวที่งงๆ แต่ที่สิ่งที่คิดว่าย่อยออกมาได้จากปีนี้คือ ยืนยันได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้นว่าชอบงานพัฒนา in-house product มากกว่างานสร้าง product ให้คนว่าจ้าง เพราะรู้สึกว่าคุณค่ามันจับต้อง มันเห็นผลกลับมาได้ชัดกว่า
นอกจากงานระดับโค้ดแล้วบางโปรเจคก็ได้ไปลองคุม progress งานอยู่เหมือนกัน คุมแบบที่ตัวเองไม่ได้ลงไปเขียนโค้ดในงานเลย รับแค่ requirement แล้วส่งต่อข้อมูลประสานงานเท่านั้น ว่าตามตรงคือไม่เคยทำมาก่อน และไม่รู้ว่าทำออกมาเป็นยังไง เป็นอีกบทบาทที่ Adapt ตัวเองและเป็น Adaptor ให้คนอื่นแบบที่ก็ยังสับสนตัวเอง บวกกับโปรเจคนั้นโดนพับไป ก็เลยรู้สึกงงหน่อยๆ แต่จาก feedback ที่ได้รับมา แม้ว่าจะไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ แต่ก็คิดว่าที่ทำไปนั้นไม่ได้มีอะไรแย่ และคนที่ทำงานด้วยก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นคนคุมทีมที่แย่ แค่นั้นก็คิดว่าโอเคแล้วสำหรับการทำงานบทบาทนี้ ครั้งแรก ก็ขอบคุณผู้มีส่วนร่วมอีกครั้งมา ณ ที่นี้ แต่ว่ากันตามตรงมันก็ยังค้างๆ อยู่ในความคิดแหละ ว่าสรุปแล้วมันดีมั้ยนะ หรือมันควรจะดีขึ้นกว่านี้ได้อีกมั้ยนะ
ในมุมชีวิตส่วนตัว อย่างที่ได้บอกไปข้างบนคือปีนี้กลับมาเที่ยว มาตระเวนกินเยอะขึ้น เลยเริ่มห่วงร่างกายตัวเองเหมือนกัน ต้นปีเลยไปตรวจสุขภาพมา ก็พบว่ามีปัญหาเรื่องคอเลสโตรอล และไขมัน เลยเป็นปีที่ได้ออกกำลังกายจริงจังขึ้น มีช่วงนึงได้เดินออกกำลังสุดสัปดาห์ แต่ช่วงหลังปรับมาเป็นการเล่น VR เกม Beat Saber อาทิตย์ละอย่างน้อย 30 นาที ก็เป็นการออกกำลังคาร์ดิโอที่เหนื่อยดีเหมือนกัน รวมถึงการจัดทีมตีแบดมินตันที่ออฟฟิศที่ไปกันทุกอาทิตย์ได้หลายเดือนอยู่ และภาพรวมของปีก็คือน้ำหนักลดได้มากสุด 6 กิโล แต่ก็แกว่งๆ ขึ้นมา ถ้าหาเฉลี่ยน่าจะลดมาจากเดิมประมาณ 3-4 กิโล แต่ปลายปีก็นิสัยเสียด้วย เพราะกินเยอะขึ้นมาก พ้นช่วงเทศกาลแล้วน่าจะต้องกลับไปคุมอาหารมากขึ้น
มีช่วงนึงเจ็บเข่า ปล่อยไว้นานแล้วไม่หายสักทีเลยลองไปหากายภาพบำบัด เลยพบว่ากล้ามเนื้อแนวต้นขา ก้น ไม่แข็งแรง ซึ่งน่าจะเกิดจากนั่งนาน ยืนผิดท่า ไม่ได้ออกกำลังต้นขาและก้น แวะไปอยู่ร่วม 7 รอบก็หายดี และได้ท่าออกกำลังกายที่จะเสริมกล้ามเนื้อและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำกลับมาทำเป็นระยะๆ แต่นอกจากออกกำลังกายเสริมกล้ามแล้ว อีกคำแนะนำก็หนีไม่พ้นการลดน้ำหนักตัว
จากเหตุการณ์ต่างๆ ของปีนี้ที่ผ่านมา ทำให้ตกผลึกมุมมองชีวิตออกมาได้ประมาณนึง
- คนเราต้องการการยอมรับและการกล่าวถึง และสิ่งเหล่านี้คือเชื้อไฟที่จะผลักดันให้คนเติบโตได้ดีและรวดเร็ว ทั้งต่อตัวคนนั้นเองและคนรอบตัวเค้า
- เป้าหมายการใช้ชีวิตของตัวเองที่คิดได้จากปีนี้คือ การเป็นคนที่มีองค์ความรู้ในหลายแขนง ตั้งแต่สกิลที่ใช้ทำงาน ข้อมูลทั่วไป ตลอดจนลายแทงร้านอาหาร แล้วสามารถใช้ความรู้ที่มีเพื่อคนอื่นได้
- คิดว่าแนวคิด Pi-shaped / Comb-shaped knowledge ควรกลายเป็นเรื่องปกติ และคิดว่าหลายคนก็มีองค์ความรู้ในลักษณะนี้ แค่ยังไม่เจอจังหวะที่จะถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น
- รวมถึงการ catch up กันน้องๆ ที่อายุน้อยกว่าหลายปีด้วย คิดว่าการทำความเข้าใจคนหลากหลายวัยคือการเข้าไปส่วนหนึ่งกับเค้า ถ้าไม่ทำ เราก็จะกลายเป็นคนต่างวัยตลอดไป
- ยิ่งทำงานเยอะขึ้น ลึกขึ้น เนื้องานใหม่กว่าเก่า การได้รับ feedback จะยิ่งเป็นเรื่องยาก เพราะหลายครั้งมันก็ยากที่คนให้ feedback เองจะเข้าใจบริบทสิ่งนั้นๆ มากพอที่จะกล้าให้ feedback หรือไม่อาจสรุปผลได้ชัดเจน เพราะมันไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนงานทั่วไปแล้ว
- การสอนแบบเล่าให้ฟังมันไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ แต่การให้เรียนรู้จากผลลัพธ์ที่เจ็บปวดก็เสี่ยง และเชิงธุรกิจแล้วไม่สามารถมาเจ็บซ้ำๆ ได้ ต้องสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นก่อนปัญหาจะเกิดให้ได้
- เริ่มคิดว่าการอ่านหนังสือแนวเล่าประสบการณ์หรือไกด์ ในวัยอายุงานนี้ ส่วนมากคือการเทียบประสบการณ์ เทียบความคิด และเหตุผลเบื้องหลัง มากกว่าการอ่านเพื่อจำไปทดลองใช้ เพราะยากที่จะใช้คำแนะนำพวกนั้นได้ทันที บริบทที่ทำงานมันไม่มีทางเหมือนกับในตัวอย่างแน่นอน
- คิดว่าตัวเองเข้าใจคำว่า “self-awareness” มากขึ้น และคิดว่านี่คือทักษะสำคัญมาก แต่ไม่ได้บอกว่าสามารถรับมือได้เ่ก่งแล้วนะ
- คิดว่ารับรู้ถึง energy ตัวเองมากกว่าเดิม ในเชิงการทำงานยังไงไม่ให้เฉา ไม่ให้หมดแรง และ recharge ยังไงให้ไปต่อได้ และอาจจะหา energy มา recharge จากหลายสิ่งได้มากขึ้น
2022 Trivia
- ปีนี้ไปเจอร้านขนมปังเกลือมา แล้วสามารถแนะนำให้หลายๆ คนชอบและติดใจได้ เรียกว่า 100% satisfaction guarantee ก็ว่าได้ รวมออเดอร์พากันหมดตังไปเป็นหมื่นแล้ว
- ปีนี้กิน Espresso Shot เป็นแล้ว
- ได้ไปเรียนคอร์ส Coffee Sensory มา ทำให้เปิดโลกการรับรสรับกลิ่นกาแฟเพิ่มขึ้น และคิดว่าทำให้สนุกกับการกินกาแฟมากขึ้น
- ปีนี้ได้ใช้วันหยุดเยอะขึ้นกว่าปีก่อนแล้ว ปีก่อนถึงสิ้นปีเพิ่งใช้วันหยุดไป 2 วัน ของสิ้นปีนี้ใช้ไปแล้ว 5 วัน
- สถิติปีนี้ แพลงก์ในนานสุด 9 นาที 15 วินาที ส่วน 5 นาทีที่เคยฝึกปีก่อนๆ กลายเป็นขั้นต่ำสำหรับปีนี้ได้แล้ว
- ยังคงรอดไม่ติดโควิด (ยังไม่เคยตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด)
ถ้าใครอ่านจบมาถึงตรงนี้ ก็ขอบพระคุณสำหรับความสนใจและความใส่ใจมาก และหวังว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ชีวิตพวกเราจะดีขึ้นครับ